สถาพร  ศรีสัจจัง  

ขณะที่สภากาแฟบางวงกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือดเหมือนจะเอาเป็นเอาตาย เกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประเทศไทยที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 14 พฤษภาคม ศกนี้ อยู่นั้น ก็มีบางเสียงเปรยดังๆขึ้นในสภาฯว่า "เรื่องเลือกตั้งบ้านเรานี่หะนะมันจะเป็นเหมือนเรื่อง 'กบเลือกนาย' ในนิทานอีสป 'เสียละมั้ง?"       

 บางใครในวงถกเถียงหันขวับมาทำตาเขียวแล้วตวาดดังๆขึ้นว่า "นี่มันยุค 'ประชาธิปไตย' แล้วนะโว้ย ไม่ใช่ยุคโบราณยุคไดโนเสาร์อย่างยุคของอีสป  นิทานพวกนั้นกระทรวงศึกษาฯเขาให้เลิกเรียนกันนานแล้ว…ยังจะยกมาอ้างอยู่อีก…" ราษฎรชาวสภากาแฟผู้ 'ตื่นตัวทางการเมือง' คนนั้น "บูลลี่"เพื่อนร่วมวงผู้ยกนิทานอีสปขึ้นอ้างอย่างสุดรำคาญในความล้าหลังของผู้พูด          

 "แต่เห็นยิ่งเลือกตั้ง ประเทศไทยก็ยิ่งเน่าใน ยิ่งฟอนเฟะเละเทะ ยิ่งเหลื่อมล้ำ ทั้งประเทศและราษฎรยิ่งเต็มไปด้วยการเป็นหนี้เป็นสิน นิสัยคนก็ยิ่งเต็มไปด้วยความตะกละตะกลาม เต็มไปด้วยความอยากมีอยากเป็น อย่างไม่รู้จักพอเพิ่มขึ้นทุกทีๆ…"               

ผู้ตั้งข้อสงสัยว่าการเลือกตั้งเมืองไทยที่กำลังจะถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเหมือนนิทานอีสป เรื่อง "กบเลือกนาย" หรือเปล่า ยังไม่ละข้อสงสัยและให้ข้อสังเกตเรื่องผลทางสังคมที่เกิดจากการเลือกตั้งเพิ่มเข้าอีก            

"นั่นนะมันความคิดของพวกล้าหลัง พวกอนุรักษ์นิยม พวกไดโนเสาร์ โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว ยุคนี้มันเป็นยุค 'โลกาภิวัตน์' เราต้องตามเขาให้ทัน จะให้ประเทศเราตกขบวนหรือไง? คนยุคนี้มันต้องตื่นตัวเรื่องสิทธิเสรีภาพของตัวเองนะโว้ย …ต้อง “เลือก” เอาคนเก่งๆจริง ที่จะนำความ “อยู่ดีกินดี” ของ 'ประชาชน' มาเป็นผู้นำ!               

 "เห็นพวกที่ได้รับเลือกเข้าไปเป็นสมาชิกสภาฯ ทั้งที่เป็นฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ในยุคที่ผ่านๆมา ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านอะไรนั่น ไม่เห็นมีใครมันจนลงสักคน มีแต่รวยขึ้นๆ ยิ่งได้เป็นหลายสมัย ก็ยิ่งดูรวยหนักขึ้น ยิ่งสร้างอิทธิพลบารมี ในพื้นที่ของตัวเอง กันมากขึ้น จนหลายคนกลายเป็น 'บ้านใหญ่' อย่างที่เขาว่ากันไปแล้ว  พวกที่เป็น ส.ส.จากต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ก็ก็ผลักดันพวกพ้องญาติพี่น้องให้ขึ้นเป็นผู้บริหารท้องถิ่น ฉ้อฉลเชิงระบบกันอยู่อย่างเห็นๆรู้กันไม่ใช่หรือ?"          

ฝ่ายนิทานอีสปไม่ลดละในการสวนกระแทก! แล้วแถมตบท้ายแบบนัก 'บูลลี่' ตัวจริงว่า :             

"ยิ่งเลือกพวกเราชาวบ้านก็ยิ่งเหมือนกบในหนองน้ำของอีสป ที่ถูกนกกระสาเจ้านายจิกกินเป็น 'เหยื่อ' จนแทบจะสูญพันธุ์กันอยู่แล้ว,ไม่เห็นกันบ้างละหรือว่าถูกกินอะไรและอย่างไร?            

"ถ้าไม่ดีก็เลือกคนใหม่-กลุ่มใหม่-พรรคใหม่ซิ! เขาให้สิทธิ-ไม่เห็นบ้างรึไง เขาให้เปลี่ยนได้ 'สิทธิเสรีภาพในการเลือก' อยู่ในมือเราแท้ๆ ก็เลือกคนใหม่เอาซิ!"                

  สมาชิกสภากาแฟผู้คลั่งไคล้เชื่อมั่นอย่างหลงไหลใน "สิทธิแห่งการเลือก"ของ "ระบอบประชาธิปไตย" เปล่งเสียงเทศนาอย่างมั่นใจในหลัการอันศักดิ์สิทธื์ที่ตนเชื่อและศรัทธา             

  "เห็นทุกพรรคทุกคนล้วนคุยโม้โอ้อวด 'เชิงนโยบาย' เหมือนหนังไทยเรื่อง "เงิน เงิน เงิน" ในอดีตกันทั้งนั้น  จะเพิ่มเงินนั้นให้เงินนี้  บางพรรคก็บอกถึงขนาดว่า "เลือกเราแล้วรับรองกระเป๋าตุง" บ้างก็ทำตัวเป็นนักพนันใจถึงประเภท'เกทับ-บลัฟแหลก-แจกสะบัด 'ทำนอง มึงแจกเจ็ดร้อย กูจะให้พันนึง' หรืออะไรทำนองนั้น ฯลฯ…                

…ดูๆแล้วก็ล้วนแต่มุ่ง "กระตุ้นความอยาก" ของคนโดยตรงโดยเฉพาะคนยากคนจนชนชั้นรากหญ้าผู้ไร้โอกาสอย่างเราๆทั้งหลาย  แบบสวนทางกับคำสอนของศาสนาพุทธ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า" ผู้ประพฤติตามอำนาจจิต(ความอยากหรือกิเลส)ย่อมลำบาก"(วิหัญญตี  จิตตวสานุวัตตี)อย่างสิ้นเชิง!"

ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น 'สายอนุรักษ์' ในสภากาแฟคนเดิมยังคงสวนกระแทกแบบไม่ยอมละวางวิสัยทัศน์ของตน

 "ถ้ายังยกคาถาบาลีโบราณอยู่แบบนั้น-แทนที่จะยกคำทันสมัยแบบภาษาอังกฤษที่สากลโลกยุคใหม่เขาใช้กันอย่างกว้างขวางที่ว่า…'Democracy of the people for the people and by the people'('ประชาธิปไตยของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน" แล้วละก็…คลานไปอยู่ใต้ส้นตีนเผด็จการทหารเหมือนเดิมเถอะ…ไอ้พวกทาสที่ปลดปล่อยไม่ไปแบบนี้…เมื่อไหร่จะหมดประเทศเสียทีวะ!"

 สมาชิกผู้คลั่งไคล้ระบบเลือกตั้งรายเดิมยกภาษา'สากลนิยม'ชุดที่มีความหมายเป็น "แก่นแกน" ของระบบ 'ประชาธิปไตย' ขึ้นสวนคาถาบาลีของพระพุทธเจ้า แถมท้ายด้วยคำผรุสวาทแบบเหลืออดเหลือทนกับความล้าหลังของคู่ 'ดีเบต'

 "ไอ้ประชาธิปไตยของโจร โดยโจร และเพื่อพวกโจร ที่นำความฉิบหาย-นำหายนะทุกรูปแบบมาให้บ้านเมือง อย่างที่เห็นๆอยู่ในวันนี้  ทั้งในประเทศเราเองและทั้งโลก-ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโลกร้อน มลภาวะ  ฝุ่นพิษ หรือที่พร่าผลาญทรัพยากรธรรมชาติ ทั้ง ดิน น้ำ อากาศ แร่ธาตุ ป่าไม้ ฯ เพียงเพื่อสนองประโยชน์เพื่อเป็น 'กำไร' ให้กับคนกลุ่มน้อย…จนก่อเกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน…                           

…ทั้งยังทำลายระบบศีลธรรม-จริยธรรม-คุณธรรม ของสังคมลงจนแทบไม่หลงเหลือ ทั้งความเอื้อเฟื้อมีน้ำใจต่อกัน จนคนต้องจิตเสื่อมเป็นโรคซึมเศร้ากันมากมาย หรือ การอยู่ร่วมโลกร่วมสังคมกันอย่างสมานฉันท์แบบพี่แบบน้อง (Solidarity&Brotherhood)…จนเกิด 'ทางอบาย' ขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง ทั้งยาเสพติด การพนัน โสเภณี โจรผู้ร้าย อาชญากรรม ฯลฯ…อย่างที่ได้เห็นได้ฟังกันอยู่เต็มตาเต็มหูนั่นไง…"

 ผู้ถูกตีตราให้กลายเป็นพวก "คอนเซอร์เวตีฟ" เปล่งประโยคยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงแรงๆเหมือนบริภาษขึ้นบ้าง  แล้วลุกเดินออกจากสภาฯ แต่ก่อนจะย่างเท้าพ้นร้าน กลับกันมาหัวเราะร่วนใส่คนในสภาฯแห่งนั้น พร้อมเปล่งเสียงสำทับส่งท้ายว่า :

 "ใครจะเอาใครเลือกใครก็เอากันไปเถอะ…แต่ข้าจะเอาแบบที่ท่านพุทธทาสแห่งสวนโมกข์ฯเคยสอนไว้ดีกว่า…คือ 'กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย!'!!!!!