สถาพร ศรีสัจจัง

“มนุษยภาพ”!                                

ฟังเรื่อยๆมาว่าคำ “มนุษยภาพ” (จะใช้คำว่า “มนุษย์” นั่นแหละแต่ฟังดูทื่อไปหน่อยขอใช้คำ “มนุษยภาพ” ในความแบบคำฝรั่งอังกฤษว่า “Humanity” แล้วกัน) ค่อยๆปรากฏและสง่างามขึ้นเรื่อยๆ หลังจาก “คน” ข้ามพรมแดนร่วมจาก “อันดับวานร”ชนิดหนึ่ง มาเป็น “สปีชี่ส์” พิเศษในบรรดา “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” ด้วยกัน โดยค่อยๆสามารถปรับโครงสร้างร่างกายจนเหยียดตรงในลักษณะ “สัตว์ 2 เท้า” และ เปลี่ยน 2 เท้าหน้าให้กลายเป็นอวัยวะที่เรียกเป็นคำไทยปัจจุบันว่า “มือ”                                     

นั่นเป็นเรื่องที่บรรดาที่นักชีววิทยาและนักมานุษยวิทยามักยืนยัน!                                

สิ่งที่เรียกว่า “สังคม” (Society หรือ การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม) ของพวกเขาพัฒนาเรื่อยไป  ดำรงในลักษณาการต่างๆเพื่อการอยู่รอดของชีวิต และเผ่าพันธุ์ ฟังว่าในยุค “ก่อนประวัติศาสตร์” (ก่อนค.ศ.ไปสักประมาณ 3,500 ปี) พวกเขาเกาะกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เสาะเก็บกินอาหารยังชีวิตไปโดยมีเพศเมียเป็นเพศนำฝูง(เพราะมีสิ่งสำคัญ คือ “แรงงานใหม่” อยู่ในมือคือ “ลูก” เป็นเงื่อนเหตุชี้ขาด)                    

อย่างเคยกล่าวมาแล้วว่า การแบ่งเรียกชื่อ “ช่วงยุค” (Period) ของบรรดานักวิชาการยังไม่ลงตัวนัก แต่เอาเป็นว่าเพื่อให้เข้าใจง่ายและเร็ว จะขอยึดเอาหลักการแบ่งชื่อยุคตามสกุลนักคิดกลุ่ม “Theory of conflict” มาใช้ก็แล้วกันละนะ โปรดเข้าใจกันตามนี้ (แค่ใช้ชื่อยุค)                    

จากยุคแรกของ “คน” ที่เรียกกันว่า “ยุคชุมชนบุพกาล” (Primitive commune) สู่ยุค “ทาส” (Slavery) สัตว์ที่เรียก “คน” ก็ก่อกลุ่มสังคมใหญ่ขึ้น สมองมีการ “เรียนรู้” เร็วขึ้นและมากขึ้น จึงสามารถสร้าง “เครื่องมือ” (Tools) ได้มีคุณภาพมากขึ้นเพื่อให้ “มือ” (2 ขาหน้าแต่เดิม) สามารถ “ทำการผลิต” สิ่งยังชีพ และ เครื่องมือเครื่องใช้ (รวมทั้งอาวุธ) ได้ดีขึ้น การกดขี่ข่มเหงระหว่างกันเองจึงน่าจะเริ่มมีมากขึ้นด้วย!                     

ผ่านสู่ยุคที่เรียกว่า “ยุคศักดินา” (Feudalism) กลุ่มสังคมเริ่มเติบใหญ่แผ่กว้างยิ่งขึ้นอีก จนแทบจะเรียกได้ว่าสามารถจัดตั้งเป็น “องค์กรสังคม” ที่มีโครงสร้างรูปแบบที่เรียกว่า “ระบบการปกครอง” หรือ “ชุมชนนครรัฐ” ไปแทบทั่วทุกลุ่มน้ำที่อุดมสมบูรณ์ของโลก 

ตั้งแต่ลุ่มน้ำแถบเอธิโอเปียในแอฟริกา ถึงลุ่มน้ำไทกริส ยูเฟรติสในตะวันออกกลางปัจจุบัน ผ่านสู่ย่านเมดิเเตอร์เรเนียน แอตแลนติก ข้ามมาเอเชียตั้งแต่เหนือสุดแถบลุ่มน้ำโวลกา จนถึงฮวงโหในจีนปัจจุบัน ลุ่มน้ำคงคา สินธุ ต่ำลงมากระทั่งถึงเอเชียไมเนอร์ และเอเชียอาคเนย์ฯลฯ                  

ตั้งแต่ยุคนี้ไปยุค “คนกินคน” (ในยุคเริ่มต้นมีนักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันบางกลุ่ม สรุปว่าพวกเขาเป็นกลุ่มพวก “สัตว์กินพืช” เสียด้วยซ้ำ!) เริ่มปรากฏรูปให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆแล้ว!

เกิดสงครามแย่งชิงสิ่งที่เรียกว่า “ทรัพย์สินเอกชน” (Private property ที่เบื้องต้นมีเพียง “ทารกกำเนิดใหม่”) พวกเขาเริ่ม ยึดครอง และเรียนรู้การปล้นชิงด้วยกำลัง (และปัญญา) เอามูลค่าส่วนเกิน (Surplus) ของผู้อื่นในหลายรูปแบบ ทั้งแบบตรงและแบบที่ใช้ “สมอง” คิดเล่ห์กลในการวางแผนที่ซับซ้อนมากขึ้นโดยวิธีนานัปการ 

แต่ในยุคนี้เช่นกัน สิ่งที่เรียกว่า “พัฒนาการทางสังคม” ของ มนุษย์เกี่ยวกับ “ระบบคุณค่า” ที่ช่วยให้ก่อเกิดสิ่งที่เรียกกันในภายหลังว่า “มนุษยภาพ” ( “คุณค่า” ที่สัตว์สปีชี่ส์อื่นยังไม่สามารถพัฒนาขึ้นถึง) อันได้แก่ เรื่องราวเกี่ยวกับความสามารถในการจัดการ และ ตระหนักรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับ “คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม และความงาม” !ก็บังเกิดขึ้นอย่างท่วมท้นมหัศจรรย์ 

 เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ลัทธิความเชื่อ” หรือ “ระบบจัดตั้งทางศาสนา” ขึ้นทั่วทั้วโลก ทั้งซีกโลกตะวันตก และ ตะวันออก การพัฒนาระบบคิดของมนุษยชาติต่อโลก และ จักรวาลที่สำคัญตั้งอยู่บนฐานการจัดตั้งนี้อย่างสำคัญ

เกิดหลักการ “ปรัชญาการคิด” หรือ สิ่งที่เรียกกันภายหลังว่า “กระบวนทัศน์ใหญ่” (The great Paradign)ในการอธิบายจักรวาล โลก และ ชีวิต ในเรื่องเรื่องจุดมุ่งหมายชีวิตมนุษย์ที่เกี่ยวกับ “ระบบคุณค่า” (Axiology) ที่แตกต่างอย่างฉกรรจ์ขึ้นเป็น 2ลักษณะใหญ่ๆ

เรียกว่า “จิตนิยม” (Idealism)กับ “วัตถุนิยม” (Matterialism) !

สังคมใน “ห้องแล็บกลุ่มนักคิด” (The Elite of thinker) ของทั้ง 2 กระบวนทัศน์ (โดยเฉพาะของบรรดานักคิดแห่งซีกโลกตะวันตก) ขบคิดค้นคว้า พัฒนา และทดลอง เพื่อใช้ผลิตสิ่งค้นพบทางความคิดดังกล่าวแปรรูปให้เป็น “เครื่องมือ” ชนิดต่างๆ ในการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงสิ่งทั้งหลายในโลก ทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม เพื่อ “รับใช้ตนและพวก ให้สามารถกลายเป็นฝ่าย “ชนะ” ในการแข่งขัน “(หรือ “ชนะ” ในทุกรูปแบบของ “สงคราม”) ด้วยความเชื่อว่าการ “ชนะ” ฝ่ายตรงข้าม จะทำให้ตน และพวกตนบรรลุถึงความ “มั่งคั่ง มั่นคงนิรันดร” ในเรื่องเกี่ยวกับ “ทรัพย์สินเอกชน”

คำ “Private property หรือ “ทรัพย์สินเอกชน” นี้ จะกลายเป็น “คำสำคัญหลัก” (keyword) ในการอธิบายถึงยุค “คนกินคน” นับแต่นี้ต่อไป จนถึงวันที่บรรดาศาสนาที่มีพื้นฐานเชิงปฏิบัติอยู่บนคตินิยม “เชิงวัตถุนิยม” (แบบที่เรียกว่า “Pracmatism”) เช่น คริสต์ศาสนา เรียกว่า “วันสิ้นโลก”) ยิ่งขึ้นๆในทุกๆด้าน

พัฒนาการนี้เองที่ได้นำมนุษย์เข้าสู่ยุคที่เรียกกันว่า “ทุนนิยม” (Capitalism)! อันจะสร้าง “ยุคกินคน” อย่างที่ท่าน “หลู่ สหวิ้น” บิคเนมแห่งวงการเขียนยุคใหม่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเคยระบุไว้ว่า ที่แท้และคำว่า “ทุนนิยม” นั้นแปลได้ว่า “กินคน” นั่นเอง!อย่างสมบูรณ์

เมื่อหน่ออ่อนของทุนนิยมค่อยๆเติบโตขึ้นนั้น เงาของยุคสืบต่อก็ค่อยๆก่อตัวทับซ้อนขึ้นด้วย นั่นคือสิ่งที่นักคิดสกุล Wว่าด้วยความขัดแย้ง” อย่างนายคาร์ล มาร์กซ์ ชาวเยอรมันเชื้อสายยิวผู้ถูกเลือกจากพระเจ้าให้เป็นผู้นำเสนอและอธิบายเรื่องนี้เรียกว่า “ระบบสังคมนิยม” ระบบสังคมนิยมที่จะพัฒนาขึ้นเป็น “ระบบคอมมินิสต์” ที่สมบูรณ์ในภายหลัง “มโน” แห่งเขา!

เพื่อก่อให้เห็นความหมายของคำ “มนุษยภาพ” ที่กว้างขึ้น ต่อไปนี้เราจะพูดคุยกันถึง “ภาพปรากฏรูปธรรม” ในเรื่องการ “กินคน” ของยุค “ทุนนิยม” แบบ “เป็นตัวเลข” (หลักฐานแบบตะวันตก) กันเสียสักหน่อย พอให้เห็นเป็นที่น่าเชื่อถือ

และถ้าคิดอะไรไม่ออก เราอาจเบนประะเด็นไปที่เรื่องการตีความ “พระคัมภีร์ไบเบิล” ภาคท้ายสุดเกี่ยวกับ “วันสิ้นโลก”หรือเรื่องยุค “4 ชาติอาชาไนย” ที่ “ต่อต้านพระเจ้า” (Anti Chrise) ในภาค “วิวรณ์” ซึ่งมีหลักฐานสืบตำนานต่อมาว่าเขียนโดยมหาสาวกคนสำคัญของพระเยซู คริสต์เจ้า(Jesus Christ) คือ “นักบุญจอห์น”

อย่างน้อยก็จะเริ่มกันตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในศตวรรษที่ 21 ที่ทำให้ สิ่งที่เรียกในปัจจุบันว่าประเทศ “สหรัฐอเมริกา” ได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็น “หัวหน้าซาตานยุคสวมมงกุฎ” (Corona?) หรือที่เรียกกันในวงผู้สนใจตีความพระคัมภีร์ไบเบิลเรื่องนี้ว่า คือยุค “4 ชาติอาชาไนย” จนทำให้มีคนตั้งคำถามกันอย่าง “ฮอตๆ” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอยู่ว่า ถ้าหัวหน้าซาตานแห่งสหรัฐอเมริกาชื่อนายโจ ไบเดน แล้วหัวหน้าฝ่าย “เทพ” ที่จะเป็นฝ่ายปกป้องความดีและพระเจ้าละคือใคร?

เห็นเขาวิเคราะห์กันให้แซ่ดว่าได้ชื่อกันมาแล้ว ดูเหมือนส่วนใหญ่จะพูดถึงชื่อประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย คริสตัง ออร์โธด็อกซ์ ผู้ฟังว่าเคร่งศาสนานักคนนั้นนั่นแหละ!!ฯ