สถาพร ศรีสัจจัง

สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงประมาณปี ค.ศ.1945 ถ้าคิดเป็นพุทธศักราชแบบไทยๆก็คือ ปี พ.ศ. 2488  

ในสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ มีทั้งทหาร และพลเรือนต้องตายลงพร้อมๆกันเป็นจำนวนมาก พูดอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ สงครามดังกล่าวได้ “กินคน” ไปทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมอย่างมหาศาล

ฟังว่าฝีมือการ “กินคน” (ก็คือ “การฆ่าคน” นั่นแหละ!) ในสงครามระหว่างฝ่าย “อักษะ”( Axis )ที่ประกอบด้วยประเทศเยอรมนี และญี่ปุ่นเป็น “หัวโจก” กับฝ่าย “สัมพันธมิตร”(Allies) ที่มีอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย สหรัฐอเมริกา  และ จีน เป็นหัวเรือใหญ่ครั้งนั้น ต้องนับว่าประเทศสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่า เป็นทั้งผู้ที่ฝีมือและศักยภาพสูงกว่าบรรดาชาติอื่นใด 

คือสามารถฆ่าศัตรูได้มาก และถูกศัตรูฆ่าน้อย ! 

ทั้งมีนักวิเคราะห์กล่าวกันว่า ที่มีนัยอันส่งผลต่อพฤติกรรมการ “กินคน” ของฝ่ายกลาโหมประเทศนี้อย่างสำคัญก็คือ การ “กินคน” หรือ “ฆ่าเพื่อนมนุษย์” เพื่อชัยชนะ และผลประโยชน์ตนเหล่านั้น จะต้องเกิดขึ้นภายนอกดินแดน หรือนอกประเทศของตน!                                

สิ่งนี้ อาจนับเป็นก้าวย่างแรกๆที่สำคัญยิ่งของประเทศเกิดใหม่ประเทศหนึ่งซึ่งเคยมีประสบการณ์ทำลายล้างชีวิตผู้คนหรือ “กินคน” ด้วยเครื่องมือที่รู้จักกันในนาม “สงครามกลางเมือง” ที่ดุเดือดรุนแรง และโหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งมาก่อน 

ในวันเวลาต่อๆมาจนถึงปัจจุบัน “สงคราม” (ไม่ว่าเล็กหรือไหญ่) จึงต้องเกิดขึ้นในดินแดนอื่นที่ต้องไม่ชื่อ “สหรัฐอเมริกา”!

ชัยชนะที่ได้รับจากการเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้มาด้วยวิธีการแบบดิบเถื่อนง่ายๆตรงๆคือการ “กินชีวิตคน” ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “อาวุธสงคราม” เช่นนี้เอง ที่อาจมีส่วนสร้างความเชื่อมั่นอย่างสำคัญ ทำให้สหรัฐอเมริกาเริ่มตั้งตัวเป็น “ผู้ปกครองโลก” คือแสดงอำนาจวางตัวเป็น “จักรพรรดินิยม” ผู้ยิ่งใหญ่ แทนนักจักรวรรดิรุ่นเก่าๆอย่างอังกฤษหรือฝรั่งเศส และอื่นๆ                                      

เฉพาะการตัดสินใจบรรทุกระเบิดปรมาณู 2 ลูก ที่ชื่อ “ไอ้หนุ่มน้อย” (Little boy ) กับ “ไอ้อ้วน” (Fat man)ไปหย่อนใส่เมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิ ของญี่ปุ่น จนทำให้ “พลเรือน” ชาวบ้านชาวเมืองของทั้ง 2 เมือง มีทั้งเด็ก ผู้หญิงตั้งครรภ์ และ คนชรา ผู้เป็นพลเรือนบริสุทธิ์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ต้องล้มตายและบาดเจ็บลงพร้อมกันในคราวเดียวนับเป็นแสนๆคน 

นี่นับได้ว่าเป็นสุดยอดเริ่ดสะแมนแตนแห่งความเป็น “นักฆ่าใจดำ” (ในนาม “สันติภาพ เสรีภาพ เสมอภาค และ ภราดรภาพ” ของระบบที่พวกเขาเรียกว่า “ประชาธิปไตย”!) ที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมาจริงๆ!    

บทเรียนนี้เองกระมัง ที่ทำให้สหรัฐอเมริกาหลังจากนั้นจึงมุ่งพัฒนา “อุตสาหกรรมสงคราม” อย่างบ้าคลั่งแบบ “เต็มลูกสูบ” จนสามารถผลิตสิ่งที่เรียกว่า “ยุทธปัจจัย” หรือ “เครื่องมือแห่งสงคราม” หรือ “เครื่องมือการกลืนนกินชีวิตเพื่อนมนุษย์” ได้อย่างก้าวหน้าที่สุดเหนือชาติอื่นใด ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ!

แน่นอน “ซัพพลายส์” แห่งสงครามเหล่านี้ย่อมสร้างความยิ่งใหญ่ และความมั่งคั่งมาให้อย่างเหลือคณานับ !

และแน่นอนเพื่อความมั่งคั่ง และความยิ่งใหญ่ จึงต้องทำให้ความขัดแย้ง หรือ “สงคราม” ที่จะนำมาซึ่งยุคแห่งการฆ่าฟันกัน หรือ “ยุคกินคนอันยิ่งใหญ่” เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของโลก ซึ่งเหล่าผู้ที่เรียกตัวเองว่า “มนุษย์” ยึดครองอยู่ยกเว้นในดินแดนที่ชื่อ “สหรัฐอเมริกา”! (โปรดระวังเกาหลีเหนือ!)

เห็นภาพสิ่งที่เรียกว่า “ยุคคนกินคน” ชัดขึ้นบ้างไหม? ว่ามีเหตุมีปัจจัยที่แท้จริงมาจากอะไร?

และจากจุดสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำให้สหรัฐอเมริกาผงาดขึ้นเป็น “ตำรวจโลก” (คือเข้าไปจุ้นวุ่นวายเพื่อ “จัดหา”และ “ปกป้อง” ผลประโยชน์ตัวเอง โดยการแทรกแซง สร้างความแตกแยก สร้างสงครามกลางเมือง ฯลฯ ในประเทศต่างๆไปทั่วทั้งโลก)

นี่เองที่ทำให้ยุคสมัยของโลกพุ่งเข้าสู่ยุค “กินคน” อย่างรวดเร็ว และอย่างแท้จริง !                    

ย้ำอีกครั้ง ! คำ “กินคน” ที่เป็นชื่อยุคนี้นั้น หมายถึง การที่คนต้อง “สิ้นชีวิต” หรือ “ต้องตาย” ลง เพราะน้ำมือของเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกด้วยกัน !                   

ทั้งโดยทางตรงคือการ “ถูกฆ่า” (ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา) โดยเหตุต่างๆ เช่น สงคราม การลี้ภัย (ต้องถูกฆ่าโดยตรง หรือ เรือจม ที่ผู้ลี้ภัยทางเรือจำนวนมากต้องตายลง เช่น ชาวโรฮีนจา และชาวแอฟริกา เป็นต้น)  เหตุการณ์ขัดแย้งส่วนบุคคลเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ การปล้นสะดมในรูปแบบต่างๆที่ทำให้เกิดการฆ่า ความคลุ้มคลั่งของคนเสพยา ฯลฯ                   

และโดยทางอ้อม เช่น  จากภัยธรรมชาติ(ที่เป็นผลข้างเคียงจากวิกฤติทางภูมิศาสตร์ที่เกิดจากการกระทำย่ำยีต่อธรรมชาติของมนุษย์  ทั้ง วาตภัย อุทกภัย แผ่นดืนไหว  โรคระบาด และอื่นๆ)         

จากปีศ.ศ.1945 ถึงปัจจุบัน คือ ค.ศ.2023 กินเวลาเพียง 78 ปี แต่กลับมี “มนุษย์” สิ่งมีชีวิตที่พัฒนามาจาก “อันดับวานร”ชนิด “โฮโม ซาเปียน” จนเรียกตัวเองว่า “มนุษย์” (Humanity) ที่มี “มนุษยภาพ” คือ ศีลธรรม จริยธรรม และ คุณธรรม สูงส่งกว่าสัตว์อื่นแล้ว ถูกมนุษย์ด้วยกันสร้างเงื่อนไข (สงครามและโลกร้อนฯลฯ) เพื่อ “กินกันเอง” ไปแล้วแบบมากเสียจนเหลือจะคณานับ

กระทั่งเมื่อถึงวันนี้ วันที่หลายประเทศหลายฝ่ายเริ่ม “เกินอดทน” จนต้องเริ่มแสดงตัว “ลุกขึ้นสู้” เพื่อยืนยันให้เห็นว่า “สิทธิอัตวินิจฉัยประชาชาติ” และ “บูรณภาพเหนือดินแดน” ที่ประเทศซึ่งแสดงตัวว่าเป็น “หัวโจกประชาธิปไตย” และ เหล่าบรรดา “พันธมิตรเก่าแก่” ทั้งหลายเคยโฆษณาเป็น “หลักการ” อยู่ปาวๆนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง!

 เค้าแห่งสิ่งที่เรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3” จึงก่อหวอดขึ้น!

หลายใครที่เป็นนักวิเคราะห์ซึ่งตั้งอยู่บนฐานแห่งคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์วิเคราะห์กันว่า นี่เองคือปรากฏการณ์ที่พระมหาคัมภีร์พยากรณ์ไว้ในภาค “วิวรณ์” ของนักบุญจอห์น ว่าคือ “วันสิ้นโลก” (End of days)

ใครที่รู้และเห็นบ้างว่า “หัวหน้ามหาซาตานผู้สวมสวมมงกุฎ” (Corona?) ผู้เป็น “บุรุษอาชาไนย” ที่นำ “ต่อต้านพระเจ้า”(Anti Christ) ใน “วันสิ้นโลก” ตามที่พระคัมภีร์ไบเบิลระบุไว้ตัวนั่นชื่ออะไร? ช่วยบอกที!