ต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว เรื่อง “ภาษาการเมือง(ที่เข้าใจว่ายังสับสนกันอยู่เกี่ยวกับอุดมคติทางการเมือง)” ตามทัศนะของ พระธรรมโกศาจารย์ พุททาสภิกขุ ที่ได้แสดงเอาไว้ในการอบรมนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มพุทธศาสตร์ เรื่อง “ภาษาเกี่ยวกับการเมือง” (https://pagoda.or.th/buddhadasa/20230330.html) ดังได้นำความมาเผยแพร่ ดังนี้

“…เผด็จการมันก็ 2 ความหมายอย่างนี้ ถ้ามันประกอบไปด้วยธรรม แท้จริงแล้วเผด็จการนี้จะดีกว่าประชาธิปไตย ทีนี้มนุษย์มันเลวเกินไป มันก็ไม่ควรเผด็จการ มันก็ไปประชาธิปไตย ก็เลยพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะงั้นมันต้องพูดกันให้รู้เรื่อง และพยายามใช้วิธีงานอย่างเผด็จการ ให้ธรรมมะเผด็จการ ให้ความถูกต้องเผด็จการ แม้มันจะผ่านมาทางบุคคล มันก็ต้องเป็นบุคคลที่ประกอบไปด้วยธรรมมะ เพราะงั้นเป็นสังคมนิยมที่ประกอบด้วยธรรมมะ ใช้โดยบุคคลผู้เผด็จการ

อยากจะให้สังเกตอยู่อย่างนึงว่า ในฝ่ายตะวันออกเราในพระคัมภีร์ทั้งหลาย ทางศาสนาก็ดี หรือทางการเมืองก็ดี มันมีคำประหลาดอยู่คำนึงว่า พระราชาที่ประกอบอยู่ด้วยทศพิธราชธรรม เป็นราชาประกอบอยู่ด้วย ทศพิธราชธรรม คำนี้ไม่มีในตำราการเมืองที่ฝรั่งเขียนให้เราเรียนแค่นั้น คุณจะไปค้นดูด้วย อาตมาเชื่อว่าไม่มีในตำราการเมืองที่ฝรั่งเขียนให้เราเรียน มันจะมีพระราชาทรราชย์เท่านั้นแหละ เพราะไอ้ตำราการเมืองเหล่านั้นมันเปรียบกับเผด็จการแบบนั้นแต่ทางตะวันออกนี้มันมีพระราชาที่ประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรม ก็จะเป็นธรรมมะสูงสุด 10 ประการ ในเมื่อเผด็จการมันก็เผด็จการแต่โดยธรรม เพราะนั้นมันถูกต้องหมด นี้ทำความเจริญได้เร็ว

นี้พูดเป็นตัวอย่างให้รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าเผด็จการนั้น มันยังหลายความหมาย มันเลวที่สุดก็มี แล้วมันก็ดีที่สุดก็มี ถ้ามันมีธรรมะเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วมันก็ยิ่งดีกว่าประชาธิปไตยงุ่มง่าม ถ้าเราหาคนเผด็จการอย่างนั้นไม่ได้ มันก็จำเป็นละที่จะต้องไปกันด้วยประชาธิปไตยที่มันงุ่มง่าม แต่ถ้าประชาธิปไตยนั้นเอง ถ้ามีหลักการถูกต้องแล้ว รวมหัวกันให้มีระบบเผด็จการในประชาธิปไตยนั้นเสียจะดีกว่า ฟังแล้วดูคล้ายคนบ้าพูด ทีนี้มีเผด็จการในประชาธิปไตย ถ้ามันมีความคิด ความรู้ ความเข้าใจถูกต้องในระบบประชาธิปไตย ประชาชนพลเมืองมันดีจริง ถ้ามันรวมหัวกันเป็นเผด็จการ ถ้ามันเลวเข้านี้จะเรียกว่าอะไร นี่คือความสับสนระหว่างประชาธิปไตยกับคำว่าเผด็จการ ก็ขอฝากไว้ไปคิดดูให้ดี