คำว่า “ประชาธิปไตย” ถูกนำมาใช้กันมาก ถูกอ้างอิงกันมาก จนหมดความศักดิ์สิทธิ์ไป “ประชาธิปไตย” จะส่งผลดีได้ในสังคมที่มีคุณภาพ การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น พลเมืองทั้งประเทศต้องมีความเข้าใจประชาธิปไตยที่ถูกต้อง มีศรัทธาในประชาธิปไตย ดังนั้นจึงต้องยอมสละ “สิทธิ์ตามธรรมชาติ” รู้รักษาสิทธิของตน พร้อมกับเคารพสิทธิของผู้อื่น “สิทธิ์ตามธรรมชาติ” นั้นเป็นกฎธรรมชาติในสังคมสัตว์ คือตัวไหนแข็งแกร่งที่สุดเป็นผู้ชนะ จะได้ทุกส่งทุกอย่างไป “คนไทยนึกคิดเอาเองว่าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยได้ ขอให้มีเวลา มีคนดี และมีเจตนาดีเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่การมีเวลา มีคนดี และมีเจตนาดีเท่านั้นไม่เพียงพอ เพราะประชาธิปไตยนั้นต้องการให้ประชาชนทั้งประเทศเข้าใจความหมาย มีศรัทธา และพร้อมที่จะทำทุกอย่างให้ประเทศของตนเป็นประชาธิปไตย จึงต้องหาทางสนับสนุนให้ประชาชนมีศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และพร้อมที่จะทำทุกอย่างให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย และในขณะเดียวกันบรรดาผู้นำก็ต้องมีศรัทธาและพร้อมที่จะทำทุกอย่างให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยด้วย การเป็นประชาธิปไตยด้วยการแสดงสุนทรพจน์และการเขียนหนังสือว่าเชื่อถือในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น เป็นการไม่เพียงพอ บรรดาผู้นำจะต้องมีศรัทธาในหลักการของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และละเว้นการกระทำใด ๆ ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทยด้วย” ( David A. Wilson ( Politics in Thailand , 1962) ความคิดเห็นที่เสนอมานี้ ก็เพื่อให้เราย้อนดูความปรารถนาวาดหวังประชาธิปไตยไทยของปัญญาชนเมื่อเกือบห้าสิบปีที่แล้ว เพื่อตรวจสอบว่า เราก้าวเดินมาได้ถูกทางหรือเปล่า ? และมาได้ไกลเพียงใด ? เรากำลังยืนอยู่ตรงไหน ? แล้วช่วยกันหาคำตอบว่า เราจะก้าวต่อไปทางไหนและอย่างไร ? พลังกลุ่มสำคัญที่ต้องปฏิรูปคือ “ราชการ” รัฐบาลที่ดีต้องทำงานแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างเร่งด่วน เหมือนวิ่งแข่งระยะสั้น ในระหว่างวิ่งแข่งระยะสั้น ก็ต้องเตรียมตัววิ่งแข่งมาราธอนไว้ด้วย เพราะถ้าวิ่งชนะรอบแรกแล้วก็ต้องผจญกับการแข่งขันทางการเมืองแบบเก่า คือแข่งขันเลือกตั้งกันอีก การทำงานแบบวิ่งแข่งนี้ มิใช่รัฐบาลต้องวิ่งฝ่ายเดียว ที่สำคัญกว่านั้นคือต้องทำให้ข้าราชการทำงานแบบวิ่งแข่ง และต้องวิ่งนำหน้าข้าราชการการเมืองด้วย เพราะข้าราชการเป็นบุคลากรผู้ปฏิบัติตัวจริง รัฐบาลที่เก่งต้องทำงานจุดนี้ให้ได้ผล การทำงานที่เป็นรูปธรรมคือบทพิสูจน์ผลงานรัฐบาล รัฐบาลจะมีนโยบายดีอย่างไรก็ตาม ถ้าข้าราชการไม่ทำให้เป็นการปฏิบัติรูปธรรมอย่างมีประสิทธิผลแล้ว มันก็เท่ากับรัฐบาลล้มเหลวนั่นเอง ในสถานการณ์ปัจจุบัน ประชาชนส่วนใหญ่มีความเข้าใจ ยอมรับว่าการเมืองยังเป็นสีเทา ยังฟอกให้ขาวทันทีทันใดไม่สำเร็จ แต่ประชาชนส่วนไม่น้อยก็ยังจะเคลื่อนไหวเรียกร้องซักฟอกต่อไป เพื่อให้การเมืองขาวขึ้นเรื่อย ๆ อย่าลืมว่า ข้าราชการประจำก็คือประชาชน ! ประชาชนนั้น ฝากความหวังต่อข้าราชการประจำ ทั้งในเรื่องฟอกขาวการเมือง และในเรื่องฟอกขาว ,พัฒนา ระบบราชการเองด้วย ข้าราชการประจำจึงเป็นภาคส่วนสำคัญ มีความหมายต่อการพัฒนาการเมืองและสังคมไทยอย่างสูง