เมื่อประมาณ พ.ศ 2534- 2535 เกิดกระแสนิยมบูชา “เสด็จพ่อ ร.5” มีผู้คนนิยมไปบวงสรวงพระบรมรูปทรงม้า ในคืนวันอังคารกันมาก แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์คำเรียกพระนาม ที่บางคนใช้ว่า “เสด็จพ่อฯ” เพราะเห็นว่าไม่เหมาะสมที่คนทั่วไปจะเรียกพระเจ้าอยู่หัวว่า “พ่อ” อันทำให้ตัวผู้พูดเป็นเหมือนลูกหลานในพระราชวงศ์ ต่อประเด็นนี้ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความเคารพบูชาพระพุทธเจ้าหลวงไว้อย่างน่าสนใจ บทความนี้ลงพิมพ์ใน คอลัมน์ “ซอยสวนพลู” ฉบับวันที่ 15 มกราคม 2536 “คนไทยที่ไปถวายบังคมพระบรมรูปในวันอังคารเป็นจำนวนมากในปัจจุบันนี้ คงจะต้องมองว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมหาราชทรงเป็นเทพพระองค์หนึ่ง ที่ดูแลคุ้มครองเมืองไทยและคนไทยอยู่ตลอดไป และอาการที่ไปถวายบังคมพระบรมรูปและทำการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนต่าง ๆ นั้นมีลักษณะไปในทางบูชาเทพเจ้า และขอพรจากเทพเจ้าเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตน ความเชื่อถือเช่นนี้จะว่าผิดหรือถูกก็พูดยาก พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ห้านั้น ทรงมีพระคุณต่อเมืองไทยและคนไทยเป็นล้นพ้นเกินกว่าที่จะอธิบายด้วยเหตุผลธรรมดาได้ ลักษณะที่ทรงมีพระคุณต่อคนไทยทั้งชาตินั้น ดูไปแล้วก็เห็นว่าเหนือวิสัยมนุษย์ธรรมดาสามัญที่จะทำได้ พระคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมหาราชก็ดี พระปัญญาคุณในอันที่จะทำให้คนไทยได้รุ่งเรืองทันสมัยกับโลกก็ดี และพระกรุณาธิคุณในทางอื่น ๆ อันมากมายหลายประการนั้น มีลักษณะเป็นของเทพมากกว่าของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ ใครจะเชื่อถือว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงเป็นเทพที่คุ้มครองเมืองไทยและคนไทยอยู่ต่อไป ก็ชอบที่เขาจะทำได้ และถ้าหากเขาจะแสดงความเคารพบูชาในฐานะที่พระองค์ท่านเป็นเทพ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของใครที่จะไปห้ามปรามหรือขัดขวางแต่อย่างใดทั้งสิ้น สำหรับตัวผมเอง นอกจากจะเชื่อถือว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงเป็นเทพที่คอยคุ้มครองป้องกันเมืองไทยและคอยอุปการะคนไทยตลอดไปนั้นแล้ว ก็ยังเชื่อถือตามหลักศาสนาพุทธว่า พระปิยมหาราชนั้นทรงเป็นบุพพการีของคนไทยอีกอย่างหนึ่งด้วย คำว่าบุพพการีนี้ พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ว่าเป็นบุคคลที่หายากชนิดหนึ่ง เพราะบิดามารดาย่อมมีหน้าที่ที่จะทำอุปการคุณให้แก่บุตรและธิดาก่อนกว่าผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ บรรพบุรุษของเราซึ่งได้แก่ ปู่ ย่า ตา ทวด และถอยหลังกว่านั้นขึ้นไปอีกจึงถือว่าเป็นบุพการีในสายตาของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมะแก่สาวกและเวไนยสัตว์ด้วยพระเมตตาคุณและพระกรุณาคุณ ทรงปรารถนาที่จะให้ความสุขแก่มวลมนุษย์ จึงนับได้ว่าพระพุทธเจ้าเองก็ทรงเป็นบุพการีของคนอีกพระองค์หนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมหาราชได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียะกิจใหญ่น้อยเพื่อประโยชน์สุขของประเทศไทย และเพื่อความปลอดภัยและความรุ่งเรืองของคนไทยทั้งปวงเช่นนี้ก็ทรงอยู่ในฐานะเป็นบุคคลที่หายากและเป็นบุพพการีอีกพระองค์หนึ่งแห่งคนไทยเราทั้งปวง เพราะฉะนั้นผู้คนทั้งปวงที่เป็นคนไทยและได้ไปชุมนุมกันที่หน้าพระบรมรูปทรงม้าเพื่อทำการสักการบูชาแก่พระบรมรูปนั้น ไม่ว่าเขาจะมองเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมหาราชทรงเป็นเทพและทรงสามารถที่จำนวยประโยชน์แก่เขาเหล่านั้นตามที่ได้เคยทรงบำเพ็ญมาแล้ว ก็เรียกได้ว่าเขาแลเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นั้นทรงเป็นบุพพการีของพวกเขาเช่นเดียวกัน และเช่นเดียวกับที่คนไทยทั้งชาติควรจะมองในฐานะเช่นนั้น เพราะถ้าเหตุว่ามองเห็นองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมหาราชเป็นบุพพการีแล้ว คนไทยทั้งปวงก็ย่อมจะต้องมีความกตัญญูกตเวทีในพระองค์ท่าน คำว่าบุพพการีนั้นแปลเป็นไทยตรง ๆ ว่าผู้ที่ได้กระทำมาก่อน หมายความถึงผู้ให้กำเนิดก้ดี หรือผู้ที่ได้กระทำคุณงามความดีให้แก่เราทุกคนไว้ก็ดี เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้รับผลดีแห่งการกระทำของท่าน เราจึงต้องมีกตัญญูและกตเวที คำว่ากตัญญูนั้นมาจากภาษาบาลีสองคำ คือ “กต” คำหนึ่ง “ตัญญู” อีกคำหนึ่ง “กต” แปลว่า กิจกรรม หรือการกระทำที่เป็นอุปการคุณแก่เราที่ท่านได้ทำมาแล้ว ส่วน “ตัญญู” นั้นแปลว่ารู้ทั้งสองคำรวมกันเข้า ก็คือกตัญญู แปลว่ามีความรู้ ไม่รู้ลืมในอุปการคุณอันดีที่ท่านได้ทำให้แก่เรามาแล้วในอดีต ส่วน “กตเวที” นั้นก็ประกอบด้วยคำภาษาบาลีสองคำอีก คือ “กต” คำหนึ่ง และ “เวที”อีกคำหนึ่ง “กต” ก็แปลว่าอุปการคุณที่ได้ทำมาแล้วเช่นเดียวกับที่แปลมาแล้วในวรรคก่อน ส่วน “เวที” แปลว่าทำให้แจ้ง รวมสองคำเข้าด้วยกันก็แปลว่าทำให้อุปการคุณของท่านที่ท่านได้ทำมาในอดีตนั้นให้แจ้งในปัจจุบันและในอนาคตตลอดไป คนที่มีความกตัญญูกตเวทีนี้ พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นบุคคลหายากอีกพวกหนึ่งในสองจำพวก ถึงกาลเวลาจะล่วงเลยไปนานช้าสักเท่าไรก็ตามที พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมหาราชนั้น ได้เสด็จสวรรคตเป็นเวลา 83 ปีมาแล้ว แต่ถึงทุกวันนี้คนไทยก็ยังรู้สำนึกถึงพระเดชพระคุณและอุปการคุณต่าง ๆ ที่ได้ทรงบำเพ็ญไว้แก่เขาทั้งปวงในอดีต ไม่มีวันที่จะลืมเลือนได้ เรียกได้ว่าคนไทยเป็นผู้มีกตัญญู ในประการที่สอง คนไทยเรานั้นก็ทำให้พระคุณในอดีตเป็นที่แจ้งในปัจจุบันและอนาคต การที่มีคนไปบูชาสักการะพระบรมรูปทรงม้าทุกวันอังคารที่กำลังเป็นปรากฏการณ์ในขณะนี้นั้น จะเรียกว่าเป็นกตเวทีอย่างหนึ่งก็ได้ คือผู้คนที่ไปชุมนุมกันนั้นเขาไปแสดงพระคุณที่แล้วมาในอดีตของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมหาราชให้ปรากฏในปัจจุบันและจะปรากฏต่อไปในอนาคต เพราะฉะนั้นภาพที่ผมนำมาลงไว้ในคอลัมน์นี้จึงเป็นภาพที่แสดงให้เห็นธรรมะอันสูง และเรียกได้ว่าเป็นธรรมะอันหายากของมนุษย์ คือความกตัญญูกตเวทีของคนไทยทั้งปวงอันมีต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมหาราช ไม่มีวันที่จะลืมเลือนได้หรือเลิกราได้ ผมว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมหาราชนั้น ทรงพระคุณอันมหาศาลแก่ชาติไทยและคนไทย ที่คนไทยเป็นคนเสรีสมกับที่เรียกกันว่าคนไทย ก็เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นั้นได้ทรงเลิก ทาส ที่คนไทยเราหรือชาติไทยเรายังเป็นชาติเอกราชอยู่ตลอดมาไม่เคยตกเป็นข้าของผู้ใด ก็เพราะพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมหาราช และที่คนไทยเราเจริญด้วยสรรพวิชาความรู้ทั้งหลายทั้งปวงจนเข้าสู่สมัยปัจจุบันได้ทันโลกและมีการพัฒนาบ้านเมืองให้รุ่งเรืองถึงเพียงนี้นั้น ก็เพราะอุปการคุณที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมหาราชได้ทรงกระทำไว้ เมื่อเรามีความกตัญญูคือเรารู้และไม่ลืมอุปการคุณที่ได้พระราชทานแก่เราไว้เช่นนี้แล้ว หน้าที่ของเราก็คือแสดงความกตเวทีให้ปรากฏต่อไป ได้แก่ทำตนให้เป็นคนในชาติที่เจริญแล้วพัฒนาแล้วและมีความสงบสุขมีความสมบูรณ์ดังพระราชปณิธานทุกประการ”