รัฐบาล “เศรษฐา 1” นอกจากจะต้องเผชิญกับแรงเสียดทานทางการเมืองแล้ว กับการบริหารทั้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลเอง รวมทั้งปัจจัยภายนอกจากทั้งในและนอกสภาฯ ที่มีฝ่ายค้านเป็นคู่แข่งทางการเมืองสำคัญทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคประชาธิปัตย์

ขณะที่ในโหมดของปัญหาเศรษฐกิจเอง ก็ไม่ง่ายสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์  เปิดเผยเศรษฐกิจไทยหรือจีดีพีช่วงไตรมาส 2/2566 มีอัตราการเติบโต 1.8% ชะลอลงจากการขยายตัว 2.6% ในไตรมาสแรกของปี 2566 พร้อมปรับคาดการณ์จีดีพีลงจากเดิมคาดว่า จะอยู่ที่ 2.7-3.7% มาอยู่ที่ 2.5-3% พร้อมกับเสนอมาตรการเร่งด่วนในการดูแลเศรษฐกิจเร่งด่วนในช่วงที่เหลือของปีต่อรัฐบาลใหม่ 6 ข้อ

1. การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศรวมทั้งรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการติดตามป้องกันผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก2. การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ โดยเร่งรัดกระบวนการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 25673.สนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและการสร้างการรับรู้ต่อมาตรการ Long-term Resident VISA (LTR) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพโดยเฉพาะกลุ่มพำนักระยะยาว การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองที่มีศักยภาพ

4.การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกรโดยการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เพียงพอต่อการผลิต การเพิ่มส่วนแบ่งให้เกษตรกรมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตขั้นสุดท้ายมากขึ้นการดำเนินมาตรการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่เกษตรกรผ่านการส่งเสริมระบบประกันภัยพืชผลจากความเสี่ยงของสภาพอากาศ และการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบทางการเกษตรที่ยังอยู่ในระดับสูง 5.การขับเคลื่อนภาคการส่งออกสินค้าเพื่อไม่ให้เป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยการอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก เร่งรัดการส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่ยังมีแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเกณฑ์ดี และสร้างตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง การป้องกันและแก้ไขปัญหากีดกันทางการค้าโดยเฉพาะมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของประเทศคู่ค้าสำคัญ ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก

และ6.ส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดยเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2563-2565 ให้เกิดการลงทุนจริง แก้ไขปัญหาอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต ควบคู่ไปกับการพัฒนากำลังแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกเพื่อดึงดูดนักลงทุน ส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และการขับเคลื่อนพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละภูมิภาค

กระนั้น แม้ยังไม่เห็นโฉมหน้าของทีมเศรษฐกิจ แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยเองมีจุดขายในเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ลายแทงที่สภาพัฒน์ทำเอาไว้ให้ทั้ง 6 ข้อย่อมเป็นคัมภีร์สำคัญ ผนวกกับมาตรการกระตุ้นต่างๆทั้งที่ไปหาเสียงไว้และสร้างสรรค์ใหม่เพื่อถอดสลักระเบิดเวลาเศรษฐกิจไทย