ทองแถม นาถจำนง “รัฐอิสลาม” เป็นเรื่องเก่าแก่ เป็นเรื่องทางศาสนาอิสลาม เมื่อก่อนนี้คนที่ไม่ได้สนใจเรื่องศาสนาอิสลาม และ/หรือประวัติศาสตร์สากล ก็คงจะไม่เคยได้ยิน แต่ทุกวันนี้ ความขัดแย้งภายในโลกมุสลิม และความขัดแย้งระหว่างชนมุสลิมบางกลุ่มกับ “อภิทุนมหาอำนาจ” รุนแรงลุกลามสะเทือนไปทั้งโลก คำว่า “รัฐอิสลาม” จึงเป็นข่าวทุกวัน ข้าพเจ้าหยิบหนังสือชื่อ “อิสลาม’24 การพัฒนาครูและอบรมนักเรียนโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลามภาคใต้ พ.ศ. 2524” พบบทความเรื่อง “ฮิจเราะฮ์ ในทัศนของคึกฤทธิ์” ท้ายบทความหมายเหตุว่า “เรียบเรียงจากคอลัมน์ ‘ซอยสวนพลู’ ของ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ประจำวันที่ 13 มกราคม 2524” ก็ไม่รู้ว่า ประโยคไหนเป็นของ “ผู้เรียบเรียง” ประโยคไหนเป็นอาจารย์หม่อม ขอนำลงทั้งหมด ดังนี้ “ศักราชของศาสนาอิสลามที่เรียกว่า ฮิจเราะฮ์ศักราช นั้น ได้ผ่านมาครบ 1400 ปี ในปีนี้เข้าศตวรรษที่ 15 ของฮิจเราะฮ์ ปีนี้จึงนับว่าเป็นปีที่มีความสำคัญของอิสลาม เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าศรัทธาแห่งศาสนานั้นได้ยืนยงมาเป็นเวลาถึง 1400 ปีบริบูรณ์ มีคนนับถือศาสนาอิสลามทั้งหมดในโลกปัจจุบันนี้เป็นจำนวนประมาณ 900 ล้านคน ศักราชของแต่ละศาสนานั้น นับจากเหตุการณ์ที่สำคัญ ประวัติส่วนตัวของศาสดาในศาสดานั้น ๆ เป็นส่วนใหญ่ เหตุการณ์ที่สำคัญ ๆ นั้น คืออะไร อย่างในศาสนาพุทธ นับเอาปีที่พระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานเป็นปีเริ่มพุทธศักราช ไม่ใช่ปีที่พระพุทธเจ้าประสูติหรืตรัสรู้ หรือปีประกาศพระศาสนา แต่เป็นปีนิพพาน เพราะหลักการสำคัญของศาสนาพุทธคือ นิพพาน พระพุทธเจ้าได้ทรงทำพระนิพพานให้แจ้งแก่มวลมนุษย์ การดับขันธ์ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นการทำพระนิพพานให้แจ้งด้วยข้อเท็จจริง มิใช่แต่เพียงด้วยการเทศนาสั่งสอนบอกให้รู้ถึงนิพพาน ส่วนศาสนาคริสต์นั้นถือเอาปีที่พระเยซูอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์เป็นปีเริ่มศักราช เพราะหลักการของศาสนาคริสต์ก็คือการที่พระเป็นเจ้ามาอุบัติในโลกเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่มนุษย์จากบาปกรรมที่มีมาแต่ดั้งเดิม เหตุการณ์นี้จึงมีความสำคัญที่สุด ส่วนฮิจเราะฮ์นั้นแปลตรง ๆ ว่า การอพยพ ศักราชฮิจเราะฮ์จึงเริ่มขึ้นด้วยปีที่พระนาบี มุฮัมมัด ทรงอพยพจากเมืองมะก๊ะไปยังเมืองยัทริบ เพราะท่านไม่สามารถจะประกาศศาสนา ณ เมืองนั้นได้ด้วยความปลอดภัย ท่านได้อพยพไปยังเมืองยัทริบ (มาดีนา)ด้วยการขี่อูฐไปจากเมืองมะก๊ะหรือเมกกะ ใช้เวลา 3 วัน ไปถึงมาดีนาในวนศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พุทธศักราช 1165 หรือคริสต์ศักราช 622 ชาวเมืองมาดีนาได้พร้อมใจกันเชิญพระนาบีให้ไปประกาศศาสนาที่นั่น จึงจึงไปเริ่มประกาศศาสนาที่นั่นได้ด้วยสันติและความปลอดภัย อิสลามแปลได้ตรง ๆ ว่า สันติ เป้าหมายของศาสนาอิสลามจึงได้แก่ การสร้างสันติ หมายถึงสันติอันเป็นความสงบจากการแบ่งพรรคแบ่งพวก แก่งแย่งแข่งดีกัน แย่งชิงผลประโยชน์กัน อันเป็นเหตุให้เกิดการรบพุ่งฆ่าฟันกัน สังคมอาหรับในยุคนั้นเต็มไปด้วยการแตกแยกละแย่งชิงผลประโยชน์กันแบบนี้ ซึ่งถ้าจะเรียกให้เข้าใจกันในยุคปัจจุบันของเมืองไทย ก็เห็นจะต้องเรียกว่า ระบบมาเฟีย จะเข้าใจง่ายกว่าเรียกอย่างอื่น ข้อสังเกตประการแรกก็คือ พระนาบีท่านได้ประกาศศาสนา ตั้งระบบใหม่ขึ้น เพื่อลบล้างมาเฟียให้หมดไปจากสังคมมนุษย์ที่ท่านรู้จักอยู่ในขณะนั้นและท่านก็ได้ปราบมาเฟียในสังคมนั้นจริง ๆ ด้วยคำสั่งสอนของท่าน มาเฟียในสมัยนั้นมิใช่จะไม่คิดสู้ แต่ได้ประกาศตนเป็นศัตรูกับพระมุฮัมมัดและวางแผนสังหารท่าน แต่ก็ทำอะไรท่านไม่ได้ จนแพ้ท่านไปในที่สุด นโยบายข้อแรก ของอิสลาม ได้การสร้างเอกภาพขึ้นในมวลมนุษย์กระทำได้ด้วยการเตาฮีด คือปลูกฝังความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวเสมอกันหมดเป็นธรรมสมัญตา ทุกคนเท่ากันในสายตาของพระเจ้า ไม่มีเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากัน นโยบายที่สอง ของอิสลามก็คือสร้างสันติ พระมุฮัมมัดพยายามที่จะเผยแพร่ศาสนาของท่านด้วยสันติวิธี ไม่ต้องการหรือส่งเสริมการปฏิวัติรัฐประหารที่นองเลือด ไม่ต้องการสงคราม ต้องการแต่จะปลูกฝังศรัทธาในพระเจ้าให้เกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของมนุษย์เอง แต่มาเฟียก็ยังยกพลจากเมืองเมกกะมาตีเมืองมาดีนาเพื่อจะทำลายท่านและธรรมที่ท่านสอน ท่านจึงต้องให้ผู้คนจับอาวุธขึ้นป้องกันเมืองมาดีนา และก็ได้ป้องกันเอาไว้ได้ การป้องกันเมืองมาดีนานั้น เป็นการต่อสู้เพื่อรักษาธรรมเอาไว้ มิให้อธรรมมาทำลายได้ การต่อสู้เพื่อรักษาธรรมเอาไว้นั้นเป็นการสละชีวิตร่างกายเพื่อธรรม ทางศาสนาพุทธก็ถือว่าเป็นกรรมหรือธรรมอันชอบ เรียกว่า จาคะ การใช้ทหารเพื่อรักษาป้องกันสัจธรรมของพระเจ้า และเสียสละชีวิตในทางของพระเจ้านั้น อิสลามเรียกว่า อัลญิฮาด ฟีซาบีลิลลาห์ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เมืองมาดีนาและเมืองเมกกะต้องทำสงครามติดพันกันมาถึงแปดปี ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาสงบศึกแล้ว เมืองเมกกะก็ยังละเมิดสัญญาถึงสามครั้งสามหน จนพระมุฮัมมัดจำใจต้องประกาศว่าท่านจะพาบรรดาสาวกของท่านเข้าไปประกอบศาสนกิจ คือทำพิธีฮัจน์ให้ได้ ท่านส่งให้บรรดาสาวกของท่านถืออาวุธเข้าเมืองเมกกะ หากชาวเมกกะขัดขืนการประกอบพิธีทางศาสนาจึงให้ต่อสู้ และให้ยึดเอาเมืองเมกกะให้ได้ แต่พอท่านเดินทางไปถึง ชาวเมืองเมกกะก็ยอมยกเมืองให้โดยดี ไม่มีการรบพุ่งเกิดขึ้น นโยบายประการสุดท้าย ก็คือ การจัดตั้งรัฐอิสลาม เพื่อสร้างแบบอย่างแก่มนุษย์ทั้งปวงว่าระบบการเมืองก็ดี ระบบเศรษฐกิจก็ดี ระบบสังคมและวัฒนธรรมก็ดี ระบบการทหารก็ดี มีอยู่ในอิสลามและเป็นของอิสลามอย่างสมบูรณ์ สามารถสนองความต้องการของมนุษย์ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม หลักการนี้ยังเป็นปัญหาในโลกปัจจุบันเพราะแม้แต่ประเทศที่ชนส่วนใหญ่นับถืออิสลามหลายประเทศ ยังมีอุปสรรคที่จะรับหลักการนี้ และยังคงอยู่ในรูปของรัฐธรรมดา ซึ่งไม่เกี่ยวกับศาสนาใด ๆ ความพยายามนี้ได้เคยมีมาแล้วในอดีต อินนิซูเบร ได้พยายามตั้งขึ้นในเมืองเมกกะและมาดีนาแต่ไม่สำเร็จ พระเจ้าอักบาร์มหาราชได้ทรงพยายามทุกวิถีทาง แต่ไม่สำเร็จ กาลีฟ กุมาร บินอับดุลอาซิซ แห่งเมืองดามัสคัส ก็ไม่สำเร็จ ขบวนการวาฮาบี แห่งซาอุดีอาระเบีย ไม่สำเร็จ คอดาฟี แห่งลิเบีย ก็หมดความหวังไปแล้ว ยังเหลือแต่ อะยาตอลเลาะห์ โคไมนี แห่งอิหร่าน ซึ่งมีคนจำนวนมากหวังว่าจะไม่สำเร็จ ข้อสำคัญก็คือความเห็นของผู้นำแต่ละท่านว่า รัฐอิสลามคืออะไรนั้น มักจะเป็นความเห็นส่วนตัวของท่านหรือคนที่นับถือท่าน แต่ยังมีคนอื่นที่เห็นเป็นอย่างอื่น อย่างไรก็ตาม มุสลิมทั่วไปเห็นว่ารัฐมุสลิมที่แท้จริงนั้น ได้แก่รัฐที่พระนาบี มุฮัมมัด ทรงตั้งขึ้นด้วยพระองค์เอง และต่อมาถึงรัฐแห่งกาลีฟสี่องค์แรกเท่านั้น ได้แก่ กาลีฟอาบูบักร , กาลีฟอุมาร , กาลีฟอุสมาน และ กาลีฟอาลี หลังจากนั้นแล้วไม่มีอีก”