เหตุสะเทือนขวัญกรณีเยาวชนก่อเหตุยิงกลางห้างสรรพสินค้า ก่อให้เกิดความสูญเสียประเมินค่าไม่ได้ ทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน สังคมและประเทศชาติ ทั้งที่เราเพิ่งจะผ่านบทเรียนอันแสนบอบช้ำนี้ มาแล้ว 6 ครั้งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

แม้กรณีที่เกิดขึ้น จะเกี่ยวพันกับหลายหน่วยงาน และต้องไปด้วยกันในทุกองคาพยพ ไม่ใช่เกิดเหตุทีก็มาคิดกันได้ ว่า ถ้าไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนี้คงไม่เกิด ฉะนั้น อะไรป้องกันได้ ทำให้เด็ดขาดได้ต้องทำ เช่น การสั่งซื้อสารเคมีอันตราย ไซยาไนท์ การสอนวิธีการดัดแปลงปืน  การเข้าถึงองค์ความรู้ที่เป็นอันตรายเหล่านี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลกันอย่างไร ก่อนจะไปถึงปลายเหตุ ต้องสังคยานาให้หมด

แม้สถาบันครอบครัว  ยังคงเป็นสถาบันหลักที่จะต้องทำงานหนักมากที่สุด คนเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง จะต้องทำงานอย่างเข้มข้น ทั้งคอยดูแลป้องกันบุตรหลาน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้พวกเขาเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงเสียเอง หรือคนเป็นพ่อแม่เป็นแม่เอง ที่ต้องไม่เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ก่อเหตุรุนแรงเสียเอง

 วาทกรรมตีตรา และวาทกรรมเหมารวม อาจทำให้ไม่เกิดการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง หรือเกาไม่ถูกที่คัน และอาจเกิดเหตุซ้ำๆ  

หากย้อนไปดู ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ  นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์ชื่อดัง โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก ต่อกรณีเหตุสะเทือนขวัญเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563  ในหัวข้อ “ ทำไมต้องรีบวิเคราะห์???” มีความตอนหนึ่งระบุว่า  “ขอพูดในฐานะบุคลากรที่เคยทำงานทางด้านนิติจิตเวชซึ่งจริงๆมีองค์ประกอบทางด้านอาชญาวิทยา จิตวิทยา ทัณฑวิทยา และอื่นๆอีกมากมายที่ต้องนำมาประกอบร่วมกัน จะขอเน้นในเรื่องของจิตวิทยาซึ่งอาจจะต้องหมายความรวมถึงจิตเวชศาสตร์ด้วย ครับ . ... เวลาเรามองคนที่ มีปัญหาเรื่องการควบคุมตนเองแล้วไปก่อเหตุรุนแรงต่างๆไม่ว่าจะเป็นคดีเล็กน้อย หรือคดีใหญ่ๆ สิ่งที่เราควรจะต้องวิเคราะห์เราก็จะใช้หลัก อย่างน้อย 3 อย่างเช่น Bio Psycho Social ....@Biological cause คือสาเหตุหรือปัจจัยทางด้านชีววิทยาเช่น ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมองซึ่งอาจจะเกิดมาจากความเจ็บป่วยที่เป็นโรคเช่น โรคทางจิตเวชต่างๆหรือการถูกกระตุ้นด้วยการใช้สารเสพติดทั้งหลายที่รุนแรงจนทำให้เกิดการสูญเสียการควบคุมตัวเองหรือมีภาวะหวาดระแวงจนต้องใช้การป้องกันตัวเองออกมาเป็นรูปแบบความก้าวร้าวหรือเปล่า.... อันนี้เป็นสิ่งที่คนมักจะไม่ค่อยนึกถึง และมองข้ามไป แต่ในบทบาทของจิตแพทย์เราจะต้องมองตรงนี้เสมอ... และที่สำคัญไม่ใช่เป็นการมองเพื่อเข้าข้างผู้ก่อคดีหรือผู้ก่อเหตุแต่อย่างใด

@Psychological cause อันนี้จะหมายถึงสาเหตุทางด้านจิตใจซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของ บุคลิกภาพ พัฒนาการทางด้านบุคลิกภาพ เรื่องคุณธรรมจริยธรรม พูดง่ายๆภาษาชาวบ้านอาจจะหมายความรวมถึง "อุปนิสัย" หรือ "สันดาน" นั่นเอง . .... ดังนั้นเราก็ต้องไปหาข้อมูลพื้นฐานก่อนหน้านี้ว่าคนที่ใช้ความรุนแรงมีพื้นเพที่มาอย่างไร เคยก่อเหตุแบบไหนมาก่อนเคยใช้ความรุนแรงมาก่อนไหมมีปัญหาเรื่องสัมพันธภาพกับคนรอบข้างอย่างไรบ้างความสามารถในการทำงานหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นอย่างไร รวมถึงวิธีการในการแก้ปัญหา เมื่อเข้าสู่ภาวะวิกฤตทางจิตใจด้วย

@Social คือสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวของผู้ก่อเหตุ ทั้งหลาย.... ว่ามีลักษณะของสิ่งแวดล้อมที่มากระตุ้นอย่างไรบ้าง . ..... ยกตัวอย่างเช่นสิ่งแวดล้อมที่ใช้ความรุนแรงกดดันบีบคั้นหรือ คอยกระตุ้นให้คนๆนั้นมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา เรียกว่า High Emotional Expression เป็นสิ่งที่ต้องไปศึกษาแล้วก็หาข้อมูลอย่างละเอียด จะได้ไม่มาวิเคราะห์กันมั่วๆ ...”

ฉะนั้น เมื่อเข้าใจสาเหตุแล้ว วันนี้ยังไม่สายที่จะลุกขึ้นมาร่วมมือกัน หากใช้ไม้อ่อนไม่ได้ ก็ถึงเวลาที่รัฐ จะต้องใช้ไม้แข็งจัดการกับทุกองคาพยพ ให้เด็ดขาด