ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุประเทศไทย มีจำนวนผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยในปี 2564 พบว่ามีคนไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้า 78,742 คน เป็นเพศชาย 71,486 คน เพศหญิง 7,256 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้มีอายุระหว่าง 15-24 ปี  24,050 คน และจากผลการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและองค์การอนามัยโลก พบว่า เยาวชนไทยมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น โดยการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กนักเรียนไทย (อายุ 13-15 ปี) เพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 3.3 ในปี 2558 เป็น ร้อยละ 8.1 ในปี 2564

นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า จากนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว มีความห่วงใยประชาชน โดยเฉพาะปัญหา เรื่อง ยาเสพติดในปัจจุบัน จึงได้มอบให้กรมการแพทย์ให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ ประชาชน เป็นการสร้างความรอบรู้ Health literacy ปัจจุบันนี้บุหรี่ไฟฟ้ากำลังระบาดในกลุ่มของวัยรุ่น รวมไปถึงเด็กในช่วงวัยเรียน ที่อาจได้รับอิทธิพลของการปรับปรุงรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ กลิ่น รสชาติของบุหรี่ไฟฟ้าที่กระตุ้นความอยากรู้อยากลองในเด็ก ซึ่งเด็กขาดการไตร่ตรองที่เหมาะสม และเผลอทดลองตามความคึกคะนอง จนส่งผลทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพตามมา และมีแนวโน้มที่เด็กจะได้รับผลกระทบทางสุขภาพจากโทษของบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

นพ.อัครฐาน จิตนุยานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวเพิ่มเติมว่า บุหรี่ไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์สูบบุหรี่ชนิดหนึ่งถูกทำให้น้ำยาในบุหรี่ไฟฟ้าเป็นไอระเหยด้วยความร้อน ซึ่งสารนิโคตินเป็นสารเสพติดที่เป็นส่วนผสมในน้ำยาของบุหรี่ไฟฟ้า ดังนั้นการสูบบุหรี่ไฟฟ้าอาจทำให้ติดสารนิโคตินได้ พบว่าบุหรี่ไฟฟ้าหนึ่งแท่งมีปริมาณนิโคตินเท่ากับบุหรี่ทั่วไป จำนวน 20 มวน ส่วนใหญ่กลุ่มผู้สูบจะมีอายุ 15 - 24 ปี ซึ่งในบุหรี่ไฟฟ้ามีสารนิโคตินที่ก่อให้เกิดโทษส่งผลต่อสุขภาพของเด็กที่สูบ ได้แก่ ระบบการหายใจ จะเกิดการระคายเคือง ไอ เหนื่อยง่าย มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หลอดลมอักเสบ โรคมะเร็ง ระบบหลอดเลือดและหัวใจ ภาวะหลอดเลือดแข็ง จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น ระบบประสาทและสมอง เซลล์สมองถูกทำลาย อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ความจำลดลง เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ระบบทางเดินอาหารทำให้เกิดแผลในกระเพาะ คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย กรดไหลย้อนและอาจนำไปสู่โรคมะเร็ง ไอระเหยนี้มีสารก่อมะเร็งที่ไม่ได้เป็นอันตรายแค่ตัวผู้สูบ

สำหรับผู้ที่อยู่รอบข้างคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเมื่อสูดดมควันเข้าไปสารนิโคตินจะส่งผลในระยะยาวต่อการพัฒนาสมองระบบประสาทและหน่วยความจำโดยเฉพาะในเด็กและวัยรุ่น และการได้รับนิโคตินในสตรีมีครรภ์อาจส่งผลต่อการพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ นอกจากนี้สารพิษจากควันบุหรี่อาจตกค้างตามเส้นผม ผิวหนัง เสื้อผ้า ซึ่งผู้ที่สัมผัสสารพิษที่ตกค้างจากควันบุหรี่หรือที่เรียกว่า “บุหรี่มือสาม” อาจเกิดอาการผิวหนังอักเสบได้ เพื่อป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าของบุตรหลาน แนะพ่อ แม่ ผู้ปกครองและครูอาจารย์ที่โรงเรียน ควรหมั่นช่วยกันสอดส่องดูแล สังเกตพฤติกรรม เฝ้าระวังการเข้าถึงและการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็ก เตือนถึงโทษภัยจากบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงเป็นตัวอย่างที่ดีโดยการไม่สูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า ควรเข้มงวดให้บ้านและสถานศึกษาเป็นสถานที่ปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม เราเห็นด้วยกับแนวทางข้อแนะนของกระทรวงสาธารณสุข หากแต่ยังขอเสนอความเห็นเพิ่มเติมว่า  ความมั่นคงทางใจนั้น เป็นเกราะป้องกันที่สำคัญ หากเยาวชนมีที่พึ่ง ระบายความอัดอั้นตันใจ และพลังกาย ก็อาจไม่จำเป็นต้องพึ่งบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งยาเสพติดอื่นๆ