ต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว หนทางในการจัดการความทุกข์  แนวทางตามข้อคิดจาก พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จากสารธรรมาตา ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 (กันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม 2555) เรื่อง “อยู่กับความทุกข์ให้เป็น” มานำเสนอต่อดังนื้

“...ยกตัวอย่างง่ายๆ คนอยู่กรุงเทพ ฯ ก็ต้องเจอรถติดซึ่งเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น หาที่จอดรถได้ยาก มีนักเขียนชาวอเมริกันคนหนึ่งเขียนประชดว่า “ตายไม่ยากเท่ากับหาที่จอดรถ” คนนี้เขาอยู่ที่นิวยอร์ค เป็นเมืองที่หาที่จอดรถยากยิ่งกว่ากรุงเทพฯ มันไม่ใช่เป็นความทุกข์ทางกาย แต่เป็นทุกข์ใจที่คนสมัยนี้เจอ เคยพูดแล้วว่าความทุกข์ทางกายเดี๋ยวนี้มีน้อยลง แต่ความทุกข์ทางใจไม่ได้ลดลงเลย ยังมีอยู่เรื่อยๆ เช่น หาที่จอดรถไม่ได้ก็ทุกข์ ต้องแย่งกันจนกระทั่งฆ่ากันตายก็มี

ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเจริญก้าวหน้าเพียงใด เราก็หนีความไม่สมหวังไม่พ้น ถ้ายิ่งร่ำรวยยิ่งมีเงินทองมากก็ยิ่งมีความอยากมากขึ้น เมื่อมีความอยากมากก็มีโอกาสไม่สมอยากมากเป็นเงาตามตัว มีคนพูดว่าเมื่อมีความอยากมากก็มีความทุกข์มาก เพราะความอยากกับความทุกข์มาด้วยกัน ก็ลองพิจารณาดู คนเราไม่ว่าจะหนีความทุกข์เพียงใดก็ต้องเจอความทุกข์วันยังค่ำ ความทุกข์ทางกาย แม้ว่าจะมีสิ่งระงับหรือบรรเทาอาการ แต่ในที่สุดก็ต้องเจอทุกขเวทนาอันแรงกล้าจนยาก็เอาไม่อยู่ อย่างเช่น โรคมะเร็ง ที่หลายๆ คนกลัว หรือแค่ปวดฟัน ปวดหัว ปวดท้อง พอมีอาการเกิดขึ้นแล้ว จะไปพึ่งยาอย่างเดียวก็ไม่ได้ ยิ่งมีความทุกข์ใจผสมโรงด้วยก็จะทุกข์มากยิ่งขึ้น

ในเมื่อความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราหนีไม่พ้น อย่างในบทสวดมนต์มีตอนหนึ่งกล่าวว่า ว่าเราถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เรามีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ถึงแม้ตอนนี้เราจะสุขสบาย ไม่ทุกข์ แต่นั่นเป็นเพราะมันยังไม่แสดงตัว แต่ก็รอโอกาสแสดงตัวอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เรามีสุขภาพดีก็อย่าคิดว่าไม่มีความเจ็บป่วย แท้จริงแล้วความเจ็บป่วยอยู่กับเราตลอดเวลา พอเราเผลอเมื่อไหร่มันก็จะแสดงตัวออกมา ในทำนองเดียวกันความแก่ก็อยู่กับเราตลอดเวลา แม้ว่าตอนนี้เรายังหนุ่มยังสาวแต่มันก็รอโอกาสแสดงตัว เผลอเมื่อไหร่ก็ผิวหนังย่น ผมหงอก ตกกระ กำลังวังชาลดน้อยถอยลง ความตายก็เช่นเดียวกัน ถ้าเผลอเมื่อใดมันมาทันที เพียงแค่เดินลงบันไดไม่ระมัดระวัง ตกลงมาหัวฟาดพื้นก็ตาย มันมีโอกาสเกิดขึ้นกับเราตลอดเวลา

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ความแก่มีอยู่ในความหนุ่มสาว ความเจ็บป่วยมีอยู่ในความไม่ป่วย และความตายมีอยู่ในชีวิต มันไม่ได้แยกกัน อย่างเมื่อวานพวกเราจัดดอกไม้ได้สวยงาม แต่ในเวลาเดียวกันกิจกรรมนี้ก็เตือนให้เห็นถึงความโลภในใจเรา บางคนเอากิ่งไม้แห้งใบไม้แห้งมาจัด ทำให้เห็นว่าสิ่งไม่งามนั้นก็มีความงามอยู่ ในทางกลับกันคือ ในสิ่งที่สวยงามก็มีความไม่งามเช่นกัน ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลย

ความสุขของเราก็เช่นกันจะมีความทุกข์แฝงอยู่ตลอดเวลา ดังที่กล่าวแล้วว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่เราหนีไม่พ้น เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้

อย่างเช่น ตอนนี้เราเจอความหนาวเย็น เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันโดยไม่ทุกข์ ก็คือทุกข์กายแต่ไม่ทุกข์ใจ อันนี้เราทำได้ ถ้าเราทำไม่ได้ก็จะมีแต่ความหงุดหงิดความไม่พอใจเกิดขึ้น เพราะเราไม่สามารถบังคับหรือควบคุมให้ทุกอย่างเป็นตามใจเราได้ แม้กระทั่งร่างกายของเรา เรายังบังคับควบคุมให้ตัวเองไม่เจ็บไม่ป่วยไม่ได้...” (อ่านต่อฉบับหน้า)