แม้ภาพที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ได้รับการพักโทษและเดินทางเข้าบ้านพักจันทร์ส่องหล้า  จากนั้นเจ้าตัวนั่งรับลมบริเวณสระน้ำ ภายในบ้าน พร้อมใส่เฝือกที่คอและแขน จะดูไม่สมจริง และประหนึ่งท้าทาย ผู้คนในสังคมก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าเกมการเมืองบนกระดานนี้จะเดินมาถึง สุดทางแต่อย่างใด !
 ภายหลังทักษิณ ได้รับการพักโทษ และเดินทางกลับเข้าสู่บ้านจันทร์ส่องหล้า เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 18 ก.พ.67  จากนั้นเช้าวันจันทร์ที่ 19 ก.พ. กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. นำตัวทักษิณ  มาส่งให้กับพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา เนื่องจากเจ้าตัวยังมีคดีที่อัยการสูงสุดต้องดำเนินการคือคดีความผิดในมาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ที่ผ่านมา โดยทักษิณ นั่งรถวีลแชร์ไปพร้อมกับคนสนิท 


 จากนั้นความคืบหน้าของคดีมาตรา 112นั้น “ประยุทธ เพชรคุณ”  รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงว่า อัยการได้พิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ที่ทักษิณ เคยส่งต่อพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา แล้วเห็นว่าคดีมีประเด็นที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม จึงมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม และนัดให้มาฟังคำสั่งทางคดีในวันที่ 10 เม.ย.นี้ 


 ในความเคลื่อนไหว จากก่อนวันที่ทักษิณ จะได้รับการพักโทษ มาถึงวันที่เขาได้สูดอากาศ นอกโรงพยาบาลตำรวจ ในรอบ 180 วัน ตามที่ลูกสาวได้อ้างไว้ผ่านไอจีส่วนตัว นั้นแม้จะมีเสียงโจมตีไปยังรัฐบาล , เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล , พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ตลอดจนข้าราชการ ในกรมราชทัณฑ์ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง 


 แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายรัฐบาลเอง โดยเฉพาะ “รัฐมนตรี” จากพรรคเพื่อไทย ต่างประสานเสียงกันว่า ทั้งเสียงโจมตี หรือแม้แต่ “ม็อบคปท.” ที่ปักหลักชุมนุมต่อต้านการพักโทษของทักษิณ เพราะรับไม่ได้ที่เขาไม่เคยติดคุกแม้แต่วันเดียว ก็ย่อมไม่มีความหมาย เพราะเชื่อว่า การ “ยกระดับ” ไปสู่ “ม็อบใหญ่” เหมือนในอดีต คงเกิดขึ้นได้ยาก 
 ทว่า ปัญหาจากปรากฎการณ์ไม่ติดคุกของทักษิณ และได้กลับเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า รอบนี้กำลังสะท้อนว่า แท้จริงแล้วการต่อสู้ทางการเมือง ของ ขั้วอำนาจทักษิณนั้นยังไม่จบลงด้วย “ชัยชนะ” อย่างเบ็ดเสร็จ 


 เนื่องจากยังมีอีกหลายช่องทาง และเครื่องมือ “ทางการเมือง” ที่พร้อมจะเปิดเกมใหม่ๆ ตามมานับจากนี้ ทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ของสว. ตามมาตรา 153 ก่อนที่สว.จะหมดวาระลงในเดือนพ.ค.นี้ 


 หรือการที่คดีในมาตรา 112 อัยการสูงสุด นัดไปฟังคำสั่งในเดือนเม.ย. นี้ ทักษิณยังต้องลุ้นว่าไพ่จะออกมาในหน้าไหน  นั่นคือ 1.สั่งฟ้อง 2.ไม่สั่งฟ้อง 3.เลื่อนนัดฟังคำสั่ง
 โดยหากอัยการมีคำสั่งเห็นสั่งฟ้อง จะต้องนำตัว ทักษิณเข้าสู่กระบวนการศาลทันที แต่หากมีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” ถือว่าสิ้นสุดในชั้นของอัยการไม่ต้องส่งสำนวน ไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้พิจารณาเหมือนกับคดีอื่นๆ เนื่องจากเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งอัยการสูงสุดมีอำนาจสอบสวนและพิจารณาเด็ดขาด
 และในระหว่างที่คดีมาตรา 112 ยังต้องรอลุ้นกันในเดือนเม.ย. ใช่ว่าสถานการณ์ทางการเมือง จะไม่มีอะไรพลิกผันขึ้นมาได้ เพราะการที่ทักษิณ ได้รับการพักโทษ และ

ปรากฏความเคลื่อนไหวในลักษณะที่เหมือน “ท้าทาย” มวลชนฝ่ายต่อต้าน ที่นอกเหนือไปจากม็อบคปท. แล้ว 

 ไม่ได้หมายความว่า การ “ผลัก” ให้ทักษิณ ออกมาเผชิญหน้ากับ “แรงเสียดทาน” เช่นนี้ จะไม่สามารถแปรเปลี่ยนกลายเป็น “เงื่อนไข” บล็อกทั้ง ทักษิณ รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ตามมา !