อากาศร้อน การเมืองก็ร้อน อารมณ์ก็ร้อน ระเบิดกันได้ง่ายๆ ฉะนั้น จึงต้องรักษาสมดุล ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพใจกันให้ดีๆ

ในด้านสุขภาพกาย มีคำเตือนมาจากกระทรวงสาธารณสุข ว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าอุณหภูมิปีนี้จะสูงขึ้นกว่าปีก่อน อาจถึง 44.5 องศาเซลเซียส ซึ่งมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยดูได้จากค่าดัชนีความร้อน ซึ่งเป็นค่าที่สะท้อนความรู้สึกร้อนของร่างกาย จากการนำอุณหภูมิของอากาศมาคิดร่วมกับความชื้นสัมพัทธ์ เนื่องจากเมื่อความชื้นสัมพัทธ์สูงจะทำให้เหงื่อระเหยยาก และส่งผลให้รู้สึกร้อนกว่าอุณหภูมิจริงของอากาศ หากค่าดัชนีความร้อนเกิน 40 องศาเซลเซียส จะมีความเสี่ยงเกิดโรคลมแดด หรือโรคฮีทสโตรก (Heat Stroke) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายร้อนจัดจนส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย และเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

ทีนี้เราจะอยู่อย่างไร ในหน้าร้อน มีคำแนะนำจากกรมควบคุมโรคมาฝากกัน

1.ตรวจสอบอุณหภูมิภายนอก ถ้าเกิน34 องศาเซลเซียส ควรลดระยะเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง

2.สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนและไม่คับเกินไป

3.ถ้ามีอาการเพลีย กระหายน้ำ อ่อนแรง เป็นลม ให้รีบหลบเข้าที่ร่ม ปรับอุณหภูมิให้เย็น  ดื่มน้ำเย็นหรือใช้ผ้าชุบน้ำถูตัว หรือซอกรักแร้ ขาหนีบ

4.ดื่มน้ำบ่อยๆ

5.ช่วงอากาศร้อน หัวใจและหลอดเลือดจะทำงานงานขึ้น คนมีโรคประจำตัวถ้ารู้สึกผิดปกติให้รีบปรึกษาแพทย์

6.ช่วยกันดูแลผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นพิเศษ

7.หมั่นสังเกตสีปัสสาวะ ถ้ามีสีเข้ม อาจจะเกิดจากการขาดน้ำ

นอกจากนี้ ยังต้องระมัดระวังโรคติดต่อในหน้า ร้อน เช่น โรคอาหารเป็นพิษ โรคอหิวาตกโรค โรคอุจจาระร่วง ไข้ไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อย โรคไวรัสตับอักเสบเอ  

ส่วนสุขภาพจิต หรือสุขภาพใจ ที่เมื่ออากาศร้อน ก็อาจจะนอนไม่สบายตัว นอนไม่ค่อยหลับ หงุดหงิดง่าย จึงต้องฝึกจัดการกับอารมณ์ และระงับความโกรธ ความเครียดต่างๆ  หากิจกรรมคลายร้อนทั้งกายและใจ

ขอให้ทุกท่านปลอดภัยและผ่านหน้าร้อนไปได้อย่างมีความสุข