ในวงสนทนาของบรรดานักการเมือง พูดถึงฉากทัศน์ประเทศไทยใน พ.ศ. 2575 จะเกิดอะไรขึ้น ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและความพยายามบ่อนเซาะทำลายต่างๆทั้งในและนอกประเทศ

อันที่จริงนับจากนี้ไปอีกเพียง 8 ปีเท่านั้น ที่เราๆท่านๆก็จะได้เห็นภาพจริงที่ปรากฏ หากแต่วันนี้การปะทะกันทางความคิดของคนต่างขั้วนั้น รุนแรงและลงลึก ในที่นี้ผู้เขียนจะไม่ใช้คำว่า “คนรุ่นใหม่” ด้วยวัยวุฒิ ไม่ได้การันตี รวมทั้งแนวคิดและวิธีการ

เข้าตำรา “เด็กเมื่อวานซืน” คือมีความรู้หรือมีประสบการณ์น้อย สุดท้ายอาจมีจุดจบเดียวกันก็คือ ฆ่ากันเอง

ดังที่วันก่อนได้อ่านเจอบทความของ ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร เขียนเอาไว้ในเพจเฟซบุ๊ก .ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กส่วนตัว นำความบางช่วงบางตอนจากหนังสือจาก “ชีวิต 5 แผ่นดินของข้าพเจ้า” ของ พลโท ประยูร ภมรมนตรี หนึ่งในคณะราษฎร มาเผยแพร่ ความว่า

“ในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475  ตอน 8.00  น. พ.ท. พระประศาสน์พิทยายุทธ พ.ต. หลวงพิบูลสงคราม กับ ร.อ. หลวงนิเทศ ฯ ร.น. ได้นำจอมพล สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ มาในรถบรรทุกทหาร ส่งให้ข้าพเจ้าที่หน้าประตูพระที่นั่งอนันตสมาคม ข้าพเจ้าได้ถวายคำนับ เชิญเสด็จฯให้ลงเดินเข้าไปประทับในพระที่นั่ง ทรงจ้องข้าพเจ้าด้วยพระเนตรดุเดือด รับสั่งว่า

“ตาประยูร แกเอากับเขาจริงๆ พระยาอธิกรณ์ประกาศบอกฉัน ฉันไม่เชื่อ ฉันตั้งชื่อทำขวัญแกให้เมื่อเกิด ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่ต้น โกรธที่ฉันไม่ไปเผาตาแย้มพ่อแก ใช่ไหม”พลางทรงเหลียวมองดูหน่วยทหารที่พลุกพล่านเต็มลานพระรูปฯ ข้าพเจ้ากราบทูลว่า ถ้าบิดาข้าพระพุทธเจ้าสามารถรู้ได้ คงจะเศร้าใจมาก ข้าพเจ้าเร่งให้เสด็จ ในที่สุด ลงจากรถ ทรงสำทับว่า “จะเอาฉันไปไหน อย่าเล่นสกปรกนะ”

ข้าพเจ้ากราบทูลว่า เชิญเสด็จฯไปประทับในพระที่นั่งพะย่ะค่ะ รับรองไม่มีภัยประการใด ข้าพระพุทธเจ้าจะอยู่เฝ้าด้วยตนเอง เมื่อเข้าไปประทับในพระที่นั่งอนันตสมาคม มีนายทหารขั้นนายพันเอก เช่น พระยาสุรเดช พระยามหาณรงค์ และอีกหลายท่าน พยายามเข้าไปห้อมล้อม ข้าพเจ้าจึงให้ ร.อ. ประเสริฐ สุขสมัย ร.น. ที่คุมหมู่ปืนกลทหารเรือจัดการควบคุมไว้ แล้วปิดทวารดังลั่น ท่าทางข้าพเจ้าคงจะป่าเถื่อนอยู่มาก สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ทรงจ้องมองข้าพเจ้าด้วยความหวาดระแวง พอข้าพเจ้าสำนึกได้ ก็วางปืนลง แล้วกราบขอพระราชทานอภัย รู้สึกว่า ทรงคลายความวิตก แล้วทรงรับสั่งถามคำถามแรกว่า

“ใครเป็นหัวหน้า พระองค์บวรเดช ใช่ไหม” ข้าพเจ้ากราบทูลว่า ไม่ใช่ ทรงถามว่า แล้วใครเล่า ข้าพเจ้าก็ตอบว่า ยังกราบทูลไม่ได้พะย่ะค่ะ กริ้วข้าพเจ้า โดยรับสั่งหนักแน่นว่า “ตาประยูร แกเป็นกบฏ โทษถึงต้องประหารชีวิต” ข้าพเจ้าก็กราบบังคมทูลว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นกบฏ ไม่ได้ล้มพระราชบัลลังก์ ถ้าข้าพเจ้าพลาดพลั้ง ต้องถูกประหารแน่ แต่วันนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทำการสำเร็จ ใต้ฝ่าพระบาทไม่มีอันตรายใด แล้วรับสั่งถามต่อไปว่า “พวกแกที่ยึดอำนาจนี้ต้องการอะไร ประสงค์อะไร แล้วมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่เวลานี้หรือ ตาประยูร”

ข้าพเจ้ากราบทูลว่า อารยะประเทศทั่วโลกก็มีปาเลียเมนต์ทั่วไป ยกเว้นแต่อาบิสซีเนีย ทรงถามว่าอายุเท่าไหร่ ข้าพเจ้าก็กราบทูลว่า 34

ทรงรับสั่งว่า “เด็กเมื่อวานซืนนี้เอง นี่แกรู้จักคนไทยดีแล้วหรือ แกจะต้องเผชิญปัญหาเรื่องคน พระราชวงศ์จักรีครองเมืองมา 150  ปีแล้ว รู้ดีว่าคนไทยนี่ปกครองกันอย่างไร คณะของแกจะเข็นครกขึ้นภูเขาไหวหรือ”

ข้าพเจ้ากราบทูลตอบว่า ก็ทรงปกครองให้ประชาชนงมงายกันตลอดมานับร้อยนับพันปี จะมาเอาดีหวังการยึดอำนาจในการปกครองวันนี้ ให้ลงรูปรอยราบรื่นไปทีเดียว เป็นไปไม่ได้ คงจะต้องยึดอำนาจกันต่อไปอีกหลายชุด เรื่องคอนสติวชั่นและสภาปาเลียเมนต์ ก็เริ่มกันสักวันหนึ่ง ถ้าไม่นับหนึ่ง ก็ไปนับสิบไม่ได้

แล้วทรงถามว่า “แกเรียนอะไร” ข้าพเจ้าก็กราบทูลไปว่า เรียนรัฐศาสตร์จากปารีส

ทรงสำทับว่า “อ้อ มีความรู้มาก แกคงจะรู้จักโรเบสเปียร์ มารา และดังตอง เพื่อนน้ำสาบานฝรั่งเศสดีแน่ในที่สุด มันผลัดกันเอากิโยตินเฉือนคอกันทีละคน จำไว้ ฉันสงสารแก ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เด็ก นี่แกเป็นกบฏ แม้จะรอดจากอาญาแผ่นดิน ไม่ถูกตัดหัว แต่แกจะต้องถูกพวกเดียวกันฆ่าตาย แกจำไว้”