สถาพร ศรีสัจจัง

คำ “นิติสงคราม” ที่ฟังว่าเป็นคำที่คิดประดิษฐ์ขึ้นโดย รศ.ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล ปริญญา เอกด้านกฎหมายมหาชนจากมหาวิทยาลัยตูลูส ประเทศฝรั่งเศส โดยท่านแปลจากคำว่า “Lawfare” (ล้อคำจาก “Warfare”) นั้น โดยแท้ที่จริงแล้วน่าจะเป็นสิ่งที่เกิดมานานแล้ว ตั้งแต่ชุมชนยุคบุพกาล ที่ “คน” ถูกสัญชาติญาณความต้องการทางเพศและความต้องการการอยู่รอด ผลักดันให้ต้อง “รวมกลุ่ม” กันเข้า  ทั้งเพื่อร่วมป้องกันตัวเองจากภยันตรายที่จะเกิดจากสิ่งอื่นใด และเพื่อสมรรถภาพในการหาอาหารเพื่อการดำรงชีวิต

การอยู่ร่วมดังกล่าวกดดันให้ต้องเกิด “กติกา” หรือ “ปทัฎฐาน” (Norm) ต่างๆในการ “อยู่ร่วม” ขึ้น ตามเงื่อนเหตุแห่งพื้นที่และเวลาที่เป็นตัวผลักดันกำหนด

เมื่อสิ่งมีชีวิตสปีซีส์ “โฮโมเซเปียน” (สัตว์สกุลลิงไร้หางสกุลหนึ่งที่นักบรรพชีวินระบุว่าเป็นบรรพบุรุษของ “คน” ในยุคปัจจุบัน) มีการเรียนรู้และพัฒนามากขึ้นๆ สิ่งที่เรียกว่า “กติกา” หรือ “แนวปฏิบัติทางสังคม” ที่อาจเรียกในภายหลังว่า “จารีตประเพณี” หรือ “ค่านิยม” ก็เริ่มมีความชัดเจนและซับซ้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน 

และเมื่อ “คน” สามารถคิดประดิษฐ์ตัวอักษรเป็นสัญลักษณ์เพื่อสื่อสารระหว่างกันอย่างมีความหมายร่วมของ “กลุ่ม”หรือ “สังคม” นั้นๆได้สำเร็จ สิ่งที่เรียกกันในปัจจุบันว่า “กฎหมายลายลักษณ์” จึงค่อยๆบังเกิดขึ้นและพัฒนาซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยมา

ทั้งกฎหมายเฉพาะส่วนของสังคมหนึ่งๆ ประเทศหนึ่งๆ กระทั่งพัฒนาจนถึงขั้นเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายโลก หรือ “กฎหมายสากล” เอาทีเดียว

ที่แน่นอนก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “กฎหมาย” (ทุกพื้นที่และทุกยุคสมัย) ดังกล่าวนี้ ก็กลายเป็น “เครื่องมือ” ในการใช้ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ ทั้งของแต่ละปัจเจก แต่ละกลุ่ม แต่ละชนชั้น แต่ละประเทศ ฯมาโดยตลอด!

ผลประโยชน์ที่ว่า มีทั้งการใช้เป็นเครื่องมือในการปกป้องหรือหาผลประโยชน์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้กับตัวเอง กลุ่มตัวเอง ชนชั้นตัวเอง หรือประเทศตัวเอง และมีทั้งที่ใช้เพื่อทำลายบุคคล หรือฝ่ายหรือ “ประเทศ” ที่คิดว่าเป็น “พวกตรงข้าม” หรือ “พวกที่ขัดผลประโยชน์” หรือ “พวกศัตรู”!

กล่าวเฉพาะในสังคมไทยหรือ “ประเทศไทย” ก็ต้องถือว่าเป็นพื้นที่หนึ่ง ของ “นิติสงคราม” หรือ “การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการทำสงคราม” มาโดยตลอด !

ทั้งระหว่างรัฐกับบุคคลและกลุ่มบุคคล  ระหว่างบุคคลกับบุคคล ระหว่างชนชั้น และ ฯลฯ  เพียงแต่ยังไม่มีคำหรูๆอย่างคำ “นิติสงคราม” ซึ่งเป็น “วาทกรรม” ที่กำลังร้อนแรงอยู่ในหมู่ผู้นิยมแนวคิดแบบ “อาจารย์ป๊อก” และ พรรคการเมืองที่ท่านอาจารย์สนับสนุนทั้งด้วยแรงกาย และ แรงความคิดมาโดยตลอดในช่วงหลายปีที่พ้นผ่านก็เท่านั้นเอง!

แต่ที่เห็นว่าน่าสนใจมากๆและเป็น “นิติสงครามของจริง” แบบ “จริงแท้แน่นอน” คือสามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับ “ระบบการปกครองของรัฐ” จน “ชนะสงคราม” (คือ “ระบบของรัฐ” เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบแบบไม่มีปากเสียงออกมาคัดค้านหรือต่อรองแม้สักแอะเดียว!) ก็คือ การต่อสู้เพื่อ “ไม่ติดคุกสักวันเดียว” ของอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยผู้ยิ่งยง(ตัวจริง)ที่ชื่อ “ทักษิณ  ชินวัตร” ที่มีข่าวลับอันลือฉาวมานาน ว่าคือผู้ที่เป็น “เจ้าของ” พรรคเพื่อไทยตัวจริง! พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลคณะปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” นั่นไง!

ที่แปลกหนักที่สุดก็คือ ทั้งอาจารย์ปิยบุตร และ บรรดาพลพรรคที่อาจารย์สนับสนุน(ความคิดทางระบบการเมือง)ล้วนไม่เคยเรียก “การเอากฎหมายมาเป็นเครื่องมือ” ในการต่อสู้กับระบบ “ความไม่เสมอภาคเบื้องหน้ากฎหมายของชาวไทย” ของคุณทักษิณ  ชินวัตร ที่เคยมีฐานะเป็น “นักโทษเด็ดขาด” ต้องหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศถึง 17 ปี (ซึ่งคนทั้งโลกล้วนรู้กันว่าถ้ากลับมาเมืองไทยก็ต้องติดคุกตามคำพิพากษาของศาลฎีกาถึง 8 ปีไว้แล้ว) จนไม่ต้อง “ติดคุก” แม้สักวันเดียว! ตามที่เขาเคยกล่าวคำนี้ต่อสาธารณะไว้ก่อนหน้านี้แล้ว! ว่าสิ่งนี้เป็น “นิติสงคราม” เลย แม้สักคำเดียว!

คำ “นิติสงคราม” ของอาจารย์ และ กลุ่มผู้สมาทานความคิดท่าน จึงน่าจะหมายถึงเพียง การที่รัฐไทยบังคับใช้กฎหมาย (ที่ส่วนใหญ่มีที่มาที่ชอบธรรมในระดับหนึ่งตามเงื่อนไขของสังคมเวลานั้นๆ คือส่วนมากจะมาจากรัฐสภาอย่างถูกต้องหรือไม่ถ้าเป็นแม่บทอย่างกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ได้รับการลงมติเสียงข้างมากจากประชาชนคนส่วนใหญ่) กับกลุ่มคนที่มีแนวคิดร่วมหรือเห็นด้วยกับความคิดของอาจารย์จนไปทำผิดกฎหมายเข้าเท่านั้นหรือเปล่า?

ทั้งกรณีการบังคับใช้กฎหมายอาญา(ที่เกี่ยวกับความมั่นคง)เช่น กฎหมายอาญามาตรา 112 (ที่ร้อนแรงแบบสุดๆกับคนในพรรคการเมืองและกลุ่ม “แนวร่วม” ทางความคิดที่ท่านอาจารย์สบับสนุน) รวมไปถึงกฎหมายเกี่ยวกับพรรคการเมือง โดยเฉพาะมาตราที่เกี่ยวกับการ “ยุบพรรคการเมือง” (ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” เป็นผู้ทำ “หน้าที่” ในการพิจารณาชี้ขาดเกี่ยวกับเรื่องนี้)

ในฐานะนักกฎหมายระดับดอกเตอร์ผู้เชี่ยวชาญ ที่สอนลูกศิษย์ลูกหาจนได้รับการอวยฐานะเป็นถึง “รองศาสตราจารย์” (เทียบระบบราชการเก่าก็คือระดับ ซี.9) ท่านอาจารย์ย่อมจะรู้จักประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่เป็นกฎหมายประเภท “หญ้าปากคอก” ดี ว่ามันน่ากลัวและรุนแรงขนาดไหนสำหรับข้าราชการผู้มี “หน้าที่” ต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการที่เป็นต้นน้ำของระบบยุติธรรมไทยอย่างตำรวจหรืออัยการ แม้แต่องค์กรอิสระอย่างป.ป.ช.และแม้กระทั่งปลายน้ำอย่างบรรดาท่านผู้พิพากษาในศาลต่างๆก็เถอะ!

ถ้าพวกเขาไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่มีอยู่ อาจารย์ก็รู้ว่าถ้าพวกเขาถูกดำเนินคดีแล้วพบว่ามีความบกพร่อง คือ “ไม่ปฏิบัติ” ตาม “หน้าที่” ที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ต้องปฏิบัติ พวกเขาจะต้องได้รับผลอะไร อาจารย์ที่เคยเป็น “ข้าราชการ” มาก่อน และ เป็นถึง “ดอกเตอร์” ทางกฎหมายย่อมจะต้องรู้ดีกว่าใครๆไม่ใช่หรือ?

กรณีคุณทักษิณ  ชินวัตร ที่ตอนนี้ ที่ผ่านกระบวนการ “นิติสงคราม” จนเป็นฝ่ายชนะ โดยใช้ “พลังมหัศจรรย์เหนือมนุษย์ธรรมดา” ที่ตนมี ผ่านระบบ “ความไม่เสมอภาคทางกฎหมาย” (ที่มีอยู่จริงในสังคมไทย?) ให้บรรดา “สมุน” ทั้งเล็กทั้งใหญ่รวมหัวกันหยิบยกเอาแง่มุมหรือ “ช่องว่างทางกฎหมาย” และ “กฎหมายที่ออกล่วงหน้าไว้เพื่อรองรับการนี้” มาต่อสู้จน “ชนะน็อก”สิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นธรรมทางสังคม” ไปเป็นที่เรียบร้อย อย่างที่ใครก็เห็นกันโต้งๆเสียอีก ที่อาจารย์ไม่เคยพูดถึงเลย ว่าเป็น “นิติสงคราม”!

จนบัดนี้ คุณทักษิณที่ป่วยหนักปางตายมากกว่า 160 วัน ในโรงพยาบาลตำรวจ กลับมีอาการดีวันดีคืน จนสามารถเดินทางไป “เคารพบรรพบุรุษ” และ ไปจัดงานเลี้ยง “ชุมนุมญาติสนิทมิตรสหายและแฟนคลับ” กันอย่างชื่นมื่น จนสะเทือนเลือนลั่นไปทั้งเมืองเชียงใหม่บ้านเกิด ตามที่สื่อมวลชนใหญ่น้อยนำเสนอกันอย่างอึกทึกครึกโครมอยู่นั่นไง 

เห็นเขาว่ากันว่า หรือนี่จะเป็นการไป “ตรวจราชการ” และ “เช็กเรตติ้ง” ครั้งแรก (ทั้งที่ยังเป็นนักโทษอยู่) กันแน่  เพราะเห็นมีทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้งฝ่ายพลเรือน ทหารและตำรวจ ติดตามรายงานตัวกันแบบ “สะพรึบสะพรั่ง/ ณ หน้า และ หลัง/ ณ ซ้าย และ ขวา” อยู่นั่นไงหรือใครจะยังไม่เห็น?

นี่แหละคือภาพของ “การชนะสงคราม” ในการทำ “นิติสงคราม” ของจริงหละ !

หรือท่านอาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล ซือแป๋ใหญ่ด้านกฎหมายแห่งกลุ่ม “ก้าวหน้า” ที่ฟังว่ากำลังเตรียมแผนยึดครองอำนาจทางการเมืองท้องถิ่น ทั้งอบจ./อบต.(และอะไรอีก?) ตามแบบ “ป่าล้อมเมือง” ที่อุตส่าห์คิดค้นวาทกรรม “นิติสงคราม” อันแสนจะเฉียบคมมาใช้จะยังไม่เห็นและไม่รู้สึกสักนิด?!!!