ทวี สุรฤทธิกุล

หลายคนอวย นช.ทักษิณ ว่าเป็น “ผู้นำจิตวิญญาณ” ซึ่งก็คงใช่ เพราะทั้งหลอกและหลอน

คนที่นำมาใช้คงเข้าใจผิดและมอง นช.ทักษิณ “ดีจนเกินไป” ทั้งนี้ “ผู้นำจิตวิญญาณ” เขามักจะใช้กับคนที่มีลักษณะ “เป็นผู้นำที่โดดเด่น ที่ผู้อื่นสามารถสัมผัสได้ คือ การได้รับความไว้วางใจ การให้อภัย มีจิตใจที่มั่นคง ซื่อตรงยืนหยัดในความจริง ด้วยความกล้าหาญ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคนานาประการ นิยมในความดีเลิศ ภายใต้บุคลิกภาพที่ เป็นมิตร สุภาพอ่อนน้อม เปี่ยมด้วยความรักและเมตตาจิตอันไพศาล” ซึ่ง นช.ทักษิณ มีลักษณะดังกล่าวน้อยมาก หรือถ้าจะมีก็ในลักษณะที่ตรงกันข้าม

ผู้เขียนกล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะได้รับเชิญไปวิเคราะห์ข่าวสารเกี่ยวกับ “ความเคลื่อนไหว” ของ นช.ทักษิณในระหว่างที่พักโทษ (แต่ยังไม่พ้นโทษ ขอย้ำ “ยังเป็นนักโทษ” จึงใช้คำว่า นช.นี้) ในรายการของสถานีโทรทัศน์สาธารณะช่องหนึ่งเมื่อกลางสัปดาห์ แล้วผู้ดำเนินรายการก็ยิงคำถามว่า “คุณทักษิณกำลังแสดงบทบาทอะไร เพื่ออะไร” ซึ่งผู้เขียนก็ได้พูดถึงสิ่งที่คนจำนวนหนึ่งกำลังชื่นชม นช.ทักษิณ ว่าเป็นประดุจ “ผู้นำจิตวิญญาณ” แต่ไม่ใช่ คือเป็นแค่ “ผู้นำหลอน” ที่ชอบหลอกหลอนหรือแสดงอภินิหารบางอย่างนั้นมากกว่า

ถ้าใครติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ นช.ทักษิณ ที่เมื่อสองสัปดาห์ก่อนได้ไปปรากฏตัวที่เชียงใหม่ โดยอ้างว่าจะไปเคารพบรรพบุรุษ แต่ภาพและข่าวกลับปรากฏว่าได้ไปพบปะผู้คนจำนวนมาก และมีการตรวจราชการ โดยมีข้าราชการจนถึงรัฐมนตรีไปคอยรายงานและต้อนรับ รวมถึงนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันกับอดีตนายกรัฐมนตรีไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับอีกด้วย ต่อมาเมื่อผู้สื่อข่าวไปสัมภาษณ์รัฐมนตรียุติธรรมและ กกต. ทั้งคู่ก็บอกว่าไม่ผิดกฎหมาย สามารถทำได้ แถมยังย้อนยอกด้วยว่า กฎหมายนี้รัฐสภานั่นแหละที่ทำออกมา

ต่อประเด็นที่ว่า “นช.ทักษิณ กำลังทำอะไร เพื่ออะไร” ผู้เขียนตอบไปว่า นช.ทักษิณกำลัง “แสดงอภินิหาร” เพื่อล้างมลทินให้กับตัวเองเป็นประการแรก และเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเองและตระกูลชินวัตรเป็นประการต่อไป โดย นช.ทักษิณเชื่อว่าเขาจะสามารถสร้าง “อภินิหาร” อะไรก็ได้ ผู้ดำเนินรายการถามแย้งขึ้นว่า ที่ทำอย่างนี้ “เกินดีล” ที่ทำกันไว้หลังการเลือกตั้งเมื่อวัน 14 พฤษภาคม 2566 นั้นหรือไม่ (ดีลนี้ก็คือข่าวที่บอกว่ามีนายทหารผู้ใหญ่ไปให้คำมั่นสัญญากับนักโทษชายคนหนึ่งถึงเกาะลังกาวีว่า ถ้าอยากกลับมาประเทศไทยจะต้องทำอย่างไรบ้าง เช่น ยอมให้พรรคเพื่อไทยร่วมรัฐบาลกับพรรคของทหาร และขัดขวางพรรคก้าวไกลไม่ให้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล เป็นต้น) ซึ่งผู้เขียนก็ได้ตอบไปว่า นช.ทักษิณไม่สนไม่แคร์ว่าจะมีดีลหรือตกลงอะไรกันไว้ เพราะเขาต้องการแสดงบทบาทว่า “ข้าใหญ่เหนือใคร” และยิ่งทำตัวออกนอกลู่นอกทาง “เกินดีล” นั้นได้ ก็ยิ่งแสดงว่าตัวเขานั้นใหญ่เหนือใครที่ว่าใหญ่ในแผ่นดินนี้เสียอีก ซึ่งก็ตรงกับใจหรือความต้องการของ นช.คนนี้ ที่ต้องการแสดงความยิ่งใหญ่ดังนั้น

อีกคำถามหนึ่งก็คือ “แล้ว(นช.)ทักษิณจะทำอะไรต่อไป” ซึ่งผู้เขียนก็ตอบว่า “เขาจะยิ่งแสดงบทบาทให้ยิ่งใหญ่และรุนแรงขึ้น” โดยเปรียบเทียบว่า คนไทยชอบดูมวย ทักษิณเหมือนนักมวยที่ฝ่ายกองเชียร์เชื่อว่า “ถูกกระทำ” ให้ตกระกำลำบากมากว่า 17 ปี ตอนนี้ทักษิณกำลังจะเอาคืน และเอาคืนได้อย่างหนักหน่วง โดยไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมใด ๆ เป็นที่สะใจของกองเชียร์เป็นอย่างมาก ผู้เขียนบอกว่าทักษิณกำลังเล่นบท “ขุนเข่าไร้น้ำใจ” (ฉายาของอดีตนักมวยไทยชื่อก้อง “หลังสวน พันธุ์ยุทธภูมิ” และก่อนหน้านี้ก็มีอีกคนหนึ่งคือ “นำขบวน หนองกี่พาหุยุทธ”) คือเมื่อได้โอกาสที่โจมตีกลับ ก็จะกระทำอย่างรุนแรงและทารุณ แต่ทักษิณเหี้ยมโหดยิ่งกว่านั้น เพราะไม่สนใจในกติกาและการตัดสินของกรรมการ (นั่นก็คือการย่ำยีกระบวนการยุติธรรมและไม่สนใจคุณธรรมใด ๆ อย่างที่กำลังแสดงอยู่นี้) โดย นช.ทักษิณจะไม่รามือหรือเบาแรงอย่างแน่นอน แต่จะยิ่งกระทำให้แรงยิ่งขึ้น เพื่อรักษาระดับการเชียร์ของบรรดาแฟนคลับทั้งหลาย และเพื่อความสะใจของตัวเองนั้นเป็นสำคัญ

นช.ทักษิณเชื่อว่าเขาคือ “The Untouchable - บุคคลที่ไม่มีใครทำอะไรเขาได้” สอดคล้องกับความเชื่อความคิดของคนไทยที่มีมาแต่โบราณ เกี่ยวกับคนที่มี “อภินิหาร” สามารถทำอะไรที่คนทั่วไปไม่สามารถทำได้  จึงทำให้คนจำนวนมากยังหลงงมงาย “คลั่ง” บุคคลคนนี้มาจนถึงปัจจุบัน การที่ นช.ทักษิณมีอภินิหารต่าง ๆ นี้ ได้ทำให้เขาหลงตัวเองจนถึงขนาดกระทำการต่าง ๆ “เหนือฟ้าเหนือดิน” (อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ นช.ทักษิณต้องหนีออกนอกประเทศไป) และเขาก็ยังไม่ “ลด ละ เลิก” ที่จะกระทำเช่นนั้น อย่างที่เขาได้ทำต่อกระบวนการยุติธรรม รัฐบาล รัฐสภา และคุณธรรมทางการเมือง (รวมทั้งที่มีคนกำลังพูดถึงว่าเป็นการกระทำที่อาจกระทบกระเทือนถึงสถาบันอื่น ๆ ต่อไปอีกได้)

นช.ทักษิณกำลัง “หลอน” หรือสร้าง “ทุมายา” คือความเชื่อความฝันผิด ๆ ที่เลวร้ายให้กับคนไทยและสังคมไทย โดยอภินิหารที่เขาแสดงไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2544 ก็เป็นความบังเอิญโดยแท้ ที่บังเอิญว่านโยบายประชานิยมต่าง ๆ เป็นที่ชอบใจและฝังใจคนจำนวนมาก ซึ่งทุมายาอันนี้นี่เองที่ทำให้ นช.ทักษิณ กล้าคิดการใหญ่ต่าง ๆ ตั้งแต่ อภิมหาคอร์รัปชันเชิงนโยบายต่าง ๆ จนถึงการวางตัว “เหนือฟ้าเหนือดิน” นั้น แม้ว่าเวลาจะผ่านไป 17 ปีที่ต้องระเห็จไปอยู่ต่างแดน เขาก็ยังไม่สามารถลดล้างทุมายานั้นออกไปได้ โดยยังกลับมาแสดงความก้าวร้าวและหยาบคายต่อหลาย ๆ สถาบันและกระบวนการทางการเมืองการปกครองของประเทศ ทั้งยังมีทีท่าว่ากระทำให้ “รุนแรงและร้ายแรง” ยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

มีข่าวดีอยู่บ้างที่มีผู้พยายาม “ขัดขวาง” การกระทำของ “ทุบุรุษ” เยี่ยง นช.คนนี้ ทั้งในและนอกสภา  โดยเริ่มจากการเช็กบิล “ผู้ร่วมสมคบคิด” ที่พอมองเห็น เช่น กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม แพทย์และโรงพยาบาลตำรวจ นายกรัฐมนตรี คณะกรรมการการเลือกตั้ง และส่วนราชการบางแห่ง ที่แม้ว่าจะใช้เวลานานก็ควรค่าแก่การที่จะรอคอย ระหว่างนี้สังคมก็ต้องคอย “จับตาและส่งเสียง” อย่าให้เรื่องนี้คลาดสายตาหรือเงียบเสียงไป เพื่อกระตุ้นให้มีการเอาผิดและลงโทษทุก ๆ คนและทุก ๆ หน่วยงานที่ร่วมกระทำสิ่งเลวร้ายนี้ได้ในที่สุด และเพื่อรักษาสัจธรรมอันสำคัญของโลกนี้ไว้ คือ “ธรรมะย่อมชนะอธรรม”

ทั้งนี้คนไทยก็ยังเชื่อว่า “พระสยามเทวาธิราช” จะเอาชนะและปราบ “เทวดาขี้กลาก” นี้ได้