ต่อเนื่องจากฉบับเมื่อวาน ที่ได้หยิบยกคำสอนของ พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จากเพจ “ข้อธรรม คำสอน พระไพศาล วิสาโล” มานำเสนอ จึงขอนำเสนอต่อดังนี้

“ที่จริงแม้กระทั่งเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่เราเคยเอาเป็นกับตายกับมัน เช่น ความขัดแย้ง การทะเลาะกัน ยืนยันเอาเป็นเอาตายกับความเห็นของตัว ไม่ยอมกันจนกระทั่งเกิดความร้าวฉาน อย่างที่พูดเมื่อวานนี้ สามีภรรยาที่ร้าวฉานเพียงเพราะว่าไม่ยอมกันเรื่อง กระเบื้องแค่แผ่นเดียว ไปเอาจริงเอาจัง เอาเป็นเอาตาย เอาถูกเอาผิด อย่างประเภทที่ว่าไม่ยอมกัน

ตอนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นไม่ได้คิดอะไร มันมีแต่จะเอาชนะซึ่งกันและกันให้ได้ แต่พอเวลาผ่านไป หนึ่งอาทิตย์สองอาทิตย์ มันก็เห็นเลยว่าที่เราทะเลาะเบาะแว้ง ที่เราไม่ยอมกัน มันขาดสติจริงๆ แค่กระเบื้องแผ่นเดียวก็ยอมที่จะแตกหักกันได้

ครอบครัวสามีภรรยานี้ พอผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ มองย้อนกลับมาที่เหตุการณ์วันนั้น ก็เลยรู้เลยว่าเรามันขาดสติจริงๆ ขาดปัญญาด้วย แค่เริ่มแค่นี้ก็มาทะเลาะเบาะแว้งจะเอาเป็นเอาตายให้ได้ เพียงเพราะไม่ยอม

การถอยออกมาจากเหตุการณ์ก็ช่วยทำให้เราเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น และเห็นถึงความไร้สติ หรือความหลง สิ่งเหล่านี้บางทีถ้าไม่ได้ถอยออกมาจากเหตุการณ์ มันก็ไม่เห็นว่า ตอนที่อีลุงตุงนังอยู่ในเหตุการณ์นั้น เราเผลอเราพลาด บางคนต้องใช้เวลานาน หลายสิบปี พอแก่ชราถึงรู้ว่าไม่น่าจะไปเสียอารมณ์กับเรื่องเล็กๆแบบนี้

แต่ก็ยังดีที่มองเห็น เพราะบางคนก็มองไม่เห็นเลย เกิดความเคียดแค้น ไม่ให้อภัย ไม่ยอมคืนดี แต่การที่เรามีโอกาสที่จะถอยออกมาจากเหตุการณ์มันช่วยทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนตัวเอง หรือใช้สติ อย่างสามีภรรยาคู่นี้ ตอนหลังก็หันมาหันหน้าเข้าหากัน ขอโทษขอโพย กลับมาคืนดีกัน

บางทีเวลาก็ช่วยทำให้เราเห็นอะไรชัดเจน และตระหนักถึงความผิดพลาด และรู้ว่าควรทำอย่างไร อันนี้เป็นเพราะได้ถอยออกมา หรือมองย้อนกลับเหตุการณ์ในอดีต เวลาที่ผ่านไปมันก็ช่วยทำให้เราสามารถที่จะถอยออกมาจากเหตุการณ์ที่เคยร้อนแรง และรู้ว่าได้ผิดพลาดอย่างไร ก็กลายเป็นบทเรียนของชีวิต

บางคนพอเวลาผ่านไปสัก 10 ปี 20 ปีจึงรู้ว่า ที่เราไปน้อยอกน้อยใจแม่ เพราะแม่ไม่ซื้อโทรศัพท์มือถือให้ หรือว่าไม่ซื้อเครื่องเสียงให้ ไม่ซื้อรองเท้าให้ อันนี้เป็นความขาดสติของเรา ตอนนั้นน้อยอกน้อยใจมาก จะเป็นจะตาย แต่พอเวลาผ่านไปก็เห็นว่า จริงๆแล้วแม่ก็ยังรักเรา แต่ตอนนั้นคิดว่าแม่ไม่รักเรา ไปรักพี่ชาย ไปรักน้องชาย เพราะเวลาผ่านไป ถอยออกมาจากเหตุการณ์ หรือมองย้อนกลับไปได้รู้ว่าแม่รักเรา

พ่อที่ดุด่าว่าเราเพราะกลับบ้านดึก ตอนนั้นก็รู้สึกว่าพ่อไม่รักเรา แต่พอเวลาผ่านไป เมื่อได้ถอยออกมาจากเหตุการณ์นั้น มองกลับไปก็รู้ว่าที่จริงพ่อก็รักเรา แต่เพราะความร้อนความร้อนแรงของเรา ก็เลยคิดว่าท่านไม่รักเรา ความรู้สึกที่เคยชิงชังหรือน้อยอกน้อยใจพ่อแม่ก็หายไป เพราะเราได้ถอยออกมาจากเหตุการณ์นั้น หรือจากเวลานั้น

ฉะนั้นการถอยออกมา ไม่ว่าจากสถานที่ จากวิถีชีวิต จากเหตุการณ์ รวมทั้งเรื่องราวในอดีต มีประโยชน์มาก แต่จะให้ดีเราก็ต้องรู้จักถอยออกมาจากสิ่งที่สำคัญด้วย ถอยออกมาจากอารมณ์และความคิด

การถอยออกมาจากสถานที่ จากเหตุการณ์ จากวิถีชีวิตต้องใช้เวลา แต่บางคนก็ไม่มีโอกาสที่จะถอยออกมาเลย อันที่จริงแล้วถ้าหากว่าเราจะถอยออกมาจากเหตุการณ์ใด เราจะถอยออกมาได้อย่างทันท่วงที

ถ้าหากว่าเราถอยออกมาจากอารมณ์ อารมณ์ที่เกิดขึ้น ความโกรธ ความเกลียด ความน้อยเนื้อ ความเครียด พวกนี้มันเกิดขึ้นกับเราวันละหลายๆครั้ง วันแล้ววันเล่า แต่ถ้าเราไม่รู้จักถอยออกมา มันก็เลยครอบงำจิตจิตใจของเรา และทำให้เราทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ หรือว่าทำให้เราจมอยู่ในความทุกข์

เหตุการณ์ต่างๆ ที่เรารู้สึกเสียใจ หรือว่ากลุ้มใจ หรือรู้สึกผิด ก็เพราะเราไม่รู้จักถอยออกมาจากอารมณ์ตอนที่เรื่องมันกำลังสดๆ หรือเมื่อมีการปะทะหรือกระทบ ไม่ว่าคำพูดที่กระทบ หรือการกระทำที่กระทบ หรือความสัมพันธ์ที่กระทบกัน มันย่อมเกิดอารมณ์

แต่ถ้าเราสามารถที่จะเอาจิตถอยออกมาจากอารมณ์นั้นได้ มันก็จะไม่สามารถบงการจิตใจของเรา ความสามารถในการถอยออกมาจากอารมณ์สำคัญมาก และสิ่งที่จะช่วยให้เราถอยออกมาได้คือสติ เห็นมัน เพราะพอเห็นมันก็ทำให้จิตหลุดออกจากอารมณ์ได้

ที่จริงการถอยออกมาก็ช่วยทำให้เราเห็นมันได้อย่างชัดเจน เราจะเห็นอะไรเราจะรู้จักอะไรได้ชัดเจนก็ต่อเมื่อเราถอยออกมา เหมือนกับเราจะเห็นศาลา เราจะเห็นได้ชัดเจนเราต้อง ถอยออกมา ไปอยู่นอกศาลาถึงจะเห็นว่ามีหลังคา มีหน้าจั่ว มีรูปร่างอย่างไร

เราอยู่ในตึก ไม่ว่าจะตึกเก่าหรือตึกใหม่ ถ้าเราอยู่ในตึกนั้นเราไม่รู้ว่าตึกนั้นรูปร่างเป็นอย่างไร เพราะตึกทุกตึกส่วนใหญ่ข้างในเหมือนกันหมด จนกว่าเราจะถอยออกมา มาอยู่ข้างนอก จึงเห็นว่าตึกนี้มันเป็นตึกทันสมัยมาก รูปร่างประหลาด หรือเป็นตึกเก่าที่สร้างแบบโบราณ สร้างในลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบโบราณ

ต้องถอยออกมาอยู่ข้างนอกจึงจะเห็น จึงจะรู้จักได้ชัดเจน เช่นเดียวกับความทุกข์ ถ้าเรายังจมอยู่กับความทุกข์ เราก็ไม่เพียงจะถูกความทุกข์มันรุมเร้าเผารนจิตใจ แต่ยังทำให้เราหลง แต่ถ้าเกิดว่าเราถอยออกมาจากความทุกข์ เราก็จะเห็นทุกข์เราก็จะรู้จักทุกข์ เราก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากทุกข์ หรือว่าเห็นสัจธรรมจากทุกข์ได้ ถ้าไม่เห็นทุกข์ก็ไม่รู้ทุกข์ และถ้าไม่รู้ทุกข์ก็จะออกจากทุกข์ หรือพ้นทุกข์ไม่ได้” (จบ)