สถาพร ศรีสัจจจัง

ยามที่องค์การสหประชาชาติประกาศว่า ยามนี้ถึงภาวะ “โลกเดือด” (Global boilling) เรียบร้อยแล้วนั้น ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไรบ้าง?

บรรดา “เกจิ” หรือ “ผู้ชำนาญการ” ในการวิเคราะห์สังคมไทยบอกไม่ตรงกันในทำนองว่า ตอนนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะ “ดิ่งขึ้น” และ “ดิ่งลง…”

ถามต่อไปว่า “ดิ่งขึ้นและดิ่งลงไปไหน? หรือ “ดิ่งขึ้นและดิ่งลงไปหาอะไร”

ทีนี้เฉพาะ “เกจิ” ทางการเมือง (ฟังมาว่า สิ่งที่เรียก “การเมือง” นั่นแหละ คือตัวควบคุมหรือกำหนดความเป็นไปของสังคมหนึ่งๆ)ดูเหมือนจะตอบต่างกัน!

ฝ่ายหนึ่งบอกว่า สังคมไทยกำลังรุดหน้าไปสู่การ “แบดปล่อย” ประชาชนกำลังจะได้รับชัยชนะ เหนือชนชั้นผู้ปกครอง “ทรราช” ที่กดขี่ข่มเหงและเอารัดเอาเปรียบราษฎรมาอย่างยาวนาน!

ขณะที่อีกฝ่ายบอกว่า สังคมไทยแม้จะกำลังเผชิญอยู่กับ “ภัย” หลากชนิดหลากประการ แต่ “แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์” มีพลังแห่งความงามคุ้มครองอยู่ จะสามารถฝ่าฟันหายนะทุกอย่างไปได้ สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงที่มุ่ง “ทำร้ายแผ่นดิน” หรือ “ความดีงามของสังคม” จะต้องถูกทำลายจนพินาศลงอย่างแน่นอนในท้ายที่สุด! (หรืออะไรทำนองนั้น!)

ในขณะเดียวกัน “เกจิ” ในการวิเคราะห์สังคมอีกบางฝ่าย ที่ดูเหมือนจะบอกว่าตนเองคิดแบบเป็น “กลางๆ” และ มักบอกว่า ไม่มีความคิดแบบ “สุดโต่ง” ไปในด้านใดด้านหนึ่ง ฝ่ายที่ว่านี้ มักจะอ้างแนวคิดที่เรียกว่า “สัมมาทิฐิ” ของ พระพุทธศาสนามา “อิง” ข้อคิดเอาไว้ด้วยเสมอๆ แม้ในการวิเคราะห์จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างในรายละเอียด แต่มักมีข้อสรุปหลักๆตรงกันคือ

“สังคมไทยกำลังดิ่งลงไปสู่ทางหายนะ”!  เมื่อถามต่อว่า “ทางหายนะที่ว่าคืออย่างไร? ก็มักจะได้รับคำตอบหลักๆตรงกันในทำนองว่า… ก็คือเกิดความ “หายนะทั้ง 2 ด้าน คือ ทั้งด้าน “กายภาพ”  และ ด้าน “จิตภาพ” หรือด้าน “จิตวิญญาณของมนุษย์”!

โดยทั่วไป สิ่งที่เรียกว่า “ความหายนะทางกายภาพ” นั้น คนที่พอจะติดตาม “ข่าวสารเรื่องราวทางกายภาพของสังคม” ( Social Physical Phenominon) ด้านต่างๆอยู่อย่างสม่ำเสมอ มักจะพออธิบายเข้าใจ หรือเห็น “ภาพปรากฏจริง” ได้ไม่ยากนัก แต่ สิ่งที่เรียกว่า “ความหายนะทางจิตภาพ” อะไรนั่น น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักในการทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง 

เมื่อสอบถาม “เกจิ” บางราย ที่ยึดถือแนวคิดนี้ในการวิเคราะห์ เกี่ยวกับรายละเอียดที่พอให้ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ได้รับคำตอบ (แบบประมวลสรุปความ) มาถ่ายทอดต่อดังนี้ :

“ที่ว่า” ทุนทางกายภาพ “หายนะ” ก็คือ จากการที่ “เผด็จการสฤษดิ์  ธนะรัชต์” ในฐานะ “หัวหน้าคณะปฏิวัติ” และ “นายกรัฐมนตรี” (ขณะนั้น) ร้องขอให้รัฐบาลประเทศ “มหามิตร” คือสหรัฐอเมริกา จัดส่งนักวิชาการ หรือ “ผู้รู้” (ที่ไม่มีทางรู้จัก “ราก” ที่แท้จริงของสังคมไทยเลย) มาจัดการสร้าง “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” เพื่อ “การพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย” (Modernization แบบประเทศตะวันตก) ให้ตั้งแต่เมื่อ  60 ปีก่อน (แผนฯระยะที่ 1 เริ่มประกาศใช้เมื่อปีพ.ศ.2506) และ มีการส่งเสริมผลักดันทุกด้าน ให้นักวิชาการไทยไป “ชุบตัวชุบความคิด” มาจากประเทศต้นแบบแห่งนั้นกันอย่างเป็นขบวนต่อเนื่องยาวนาน

ถึงบัดนี้ นับได้รวม 6 ทศวรรษ หรือ ประมาณ 60 ปีพอดี…

แล้ววันนี้เห็นกันหรือเปล่าละ ว่าเราสูญเสียทรัพยากรพื้นฐานไปหมดแบบแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว!

แร่ธาตุหมด ป่าไม้หมด แผ่นดินสูญเสียคุณภาพแทบสิ้น (เพราะพิษสารเคมี จากการส่งเสริมให้ปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อการส่งออก) แหล่งน้ำ (ทั้งน้ำจืดและน้ำทะเล) เน่าเสีย ปลาหมดทะเล ทะเลเน่า อากาศเป็นพิษ (เห็นกันอยู่โต้งๆที่ภาคเหนือนั่นไง!)ฯลฯ

ที่สำคัญคือระบบเศรษฐกิจแบบ “ทุนนิยมเสรี” ที่รับเข้ามาอย่างไม่ “เลือกแก่นทิ้งกาก” อย่างไม่คำนึงถึงสภาพ “ข้อจำกัด” และ “ปัจจัย” แห่งรากฐานที่เป็นจริง ที่มีอยู่ของสังคมตนกลายเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสสากรรจ์ของคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน!

นั่นคือ ระบบดังกล่าวกลายเป็น “เงื่อนไขภววิสัย (Objective) ที่ก่อปัญหาให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่รองรับการ “โปรแกรม” ค่านิยมในการ “บริโภค” อย่างไม่รู้จัก “ข้อจำกัดทางประวัติศาสตร์” ของเงื่อนไขทาง “อัตตวิสัย” (Subjective) หรือเงื่อนไขจำเพาะของ “ความขัดแย้งภายใน” แห่งสังคมของตนเอง!

ระบบ “เงินเป็นใหญ่ กำไรสูงสุด” กระตุ้น “กิเลส” และ แทรกชอนเข้าสู่จิตใจผู้นคนในสังคมไปทั่วทุกหัวระแหง จนกลายเป็น “ด้านหลัก” ของ “ค่านิยม” หรือ “ปทัสฐาน” (Norm) ทางสังคม ระบบนี้แทรกชอนเข้าไปยึดครอง “คุณค่า” ในจิตใจผู้คนในทุกระดับกลุ่มชน และทุกระดับชุมชน

แทรกชอนเข้าไปมีบทบาทเป็น “คุณค่านำทางวัฒนธรรม” แม้แต่ใน “ชุมชนชาววัด” ของพระพุทธศาสนาที่เคยเป็นเสมือน “ธงนำทาง” ของสังคม “สยาม” มาอย่างยาวนาน!!

ชุมชนชนบทล่มสลาย เกิดการพัฒนาแบบ “รวยกระจุกจนกระจาย” แบบทั่วถึง เกิดช่องว่าง และ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจจนยากที่จะแก้ไขเยียวยา ถ้าใครไม่เชื่อ ก็ลองนำเอาสินทรัพย์ของคนที่รวยที่สุดของประเทศ(ในวันนี้)จากอันดับที่ 1 ถึงอันดับที่ 5,000 มาบวกรวมกันเข้า เมื่อได้ยอดแล้ว ก็ลองนำไปเปรียบเทียบดูเถิดว่ามากกว่าหรือน้อยกว่ากลุ่ม 40 ล้านคนที่นับจากคนที่นับยากจนที่สุดขึ้นมาจนถึงคนยากจนอันดับที่ 40 ล้าน!

คือเอาง่ายๆแบบนี้ ก็จะเห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า “ความเหลื่อมล้ำ” ตัวจริง!

ประเทศนี้จึงได้รับเกียรติในการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก อย่างข้อมูลที่เขาแจงนับให้เห็นกันอยู่โต้งๆนั่นไง!!

เมื่อ “เงิน” กลายเป็นคุณค่าใหญ่สุดและสำคัญที่สุดของสังคม ทุกอย่างทุกระบบของสังคมจึงมุ่งไปยังจุดนั้น!มุ่งไปบรรลุเป้าหมายที่ “การมีเงินมาก” กันทั้งสิ้น แล้วการเมือง และ บุคลากรทางการเมืองผู้ทรงอำนาจทั้งหลายละจะเหลืออะไร?

สังคมนี้จึงกลายเป็นสังคม “เน่า” ที่หันไปทางไหนก็มีแต่ “คอร์รัปชัน” มีแต่การกินสินบาทคาดสินบน จนแม้แต่พระสงฆ์องคเจ้าเองเห็นแล้วก็ยังอดไม่ไหว…

ใครไม่เชื่อก็ลองฟัง “บทกวี” ชิ้นที่ชื่อ “มนุสสเปโต” ของท่าน “ว.วชิรเมธี” นักบวชในพระพุทธศาสนาผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในยุคปัจจุบันดูสักท่อนก็ได้ แล้วจะรู้สึกและเห็นได้เองว่า แม้แต่ผู้อยู่ในเพศบริสุทธิ์แล้วอย่างท่าน ก็ต้องตกอยู่ใน “ภาวะเหลือทน” อย่างไร…

“กินกรวดหิน ดินทราย กินชายป่า/ กินเสาไฟ เจิดจ้า ข้างถนน/กินสินบาท คาดสินบ้า ค้าสินบน/กินหัวคิว ประชาชน จนพุงกาง/กินตามน้ำ ใต้น้ำ ลามใต้โต๊ะ/กินบ๊ะโบ๊ะ มูมมาม ตะกรามกร่าง/กินงบประมาณแผ่นดิน สิ้นทั้งบาง/กินบ่อน กลางนคร กระฉ่อนไทย/กินเรือบิน เรือดำน้ำ กินซ้ำซาก/กินหลายหลาก อาวุธ ยุทโธใหญ่/กินรถถัง กินปืน ดาดดื่นไป/กินความหวัง คนรุ่นใหม่ จนภินท์พัง/กินกันทุก หมู่บ้าน ชำนาญฉ้อ/กินไม่พอ ทุกระบบ ตลบหลัง/กินกันทุก กระทรวง ทบวงคลัง/กินกระทั่ง โควิด วัคซีนคน/ หากไม่เลิก ฉ้อราษฎร์ วินาศแน่/ไทยจะแพ้ ทุกทาง อย่างปี้ป่น/ขอเถิดพวก  “มนุสฺสเปโต” พาโลชน/เลิกกินคน ไทยด้วยกัน ก่อนบรรลัย !…”