รศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล กาลเวลาย่อมมีการเปลี่ยนแปลง และแล้วพสกนิกรชาวไทยทุกคนได้ “รัชกาลที่ 10 : พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาสัปดาห์ที่แล้ว สำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมกับคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) โดยการประชุมได้มีการประชุม “การสถาปนาแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้แล้วตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์” ต่อจากนั้นได้ส่งหนังสือถึงสำนักงานวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แจ้งกรณีดังกล่าวข้างต้น โดยพล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำสาส์นส่งต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ “ตามที่มีประกาศสำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคต ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 นั้น ถือว่าเป็นกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงและจำเป็นต้องมีการดำเนินการเกี่ยวกับการสืบราชสมบัติต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ในเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลได้ชะลอการดำเนินการเกี่ยวกับขั้นตอนดังกล่าวในส่วนของรัฐบาลไว้ก่อนเพื่อสนองพระราชดำริในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารที่ว่า “ยังไม่สมควรดำเนินการใดที่แสดงถึงการมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ในระหว่างที่ประชาชนอยู่ในภาวะทุกข์โศกและยากจะทำใจ พระองค์เองก็ทรงขอเวลาร่วมทุกข์และทำใจเช่นเดียวกับประชาชนจนกว่าการพระราชพิธีพระบรมศพจะผ่านพ้นไประยะหนึ่ง” ซึ่งมีพระราชดำริว่า “เมื่อการบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานผ่านพ้นจนถึงปัญญาสมวาร (ครบ 50 วัน) คือ วันที่ 1 ธันวาคม 2559 แล้ว จึงค่อยพิจารณาดำเนินการต่อไป ในระหว่างเวลานั้น รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อนอยู่แล้ว จึงไม่น่าจะมีข้อขัดข้องใด ๆ ในราชการบ้านเมือง” บัดนี้ การพระราชพิธีพระบรมศพได้ล่วงเลยเวลาบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน จนเข้าเขตปัญญาสมวาร (50 วัน) ทั้งประชาชนก็มีโอกาสเข้าถวายบังคมพระบรมศพแล้ว ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึงบัดนี้ประมาณ 1 เดือน มีจำนวนประมาณหนึ่งล้านคน รัฐบาลจึงนำความกราบบังคมทูลว่า นับเป็นกาลอันควรดำเนินการต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามพระราชประเพณีและรัฐธรรมนูญ อันจะยังความปลื้มปีติและสร้างขวัญกำลังใจแก่พสกนิกร ซึ่งทรงทราบฝ่าละอองพระบาทแล้ว โดยที่การสืบราชสมบัติต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 ซึ่งมาตรา 2 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนี้กำหนดให้นำบทบัญญัติในหมวด 2 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาใช้บังคับโดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2557 ดังนั้น การสืบราชสมบัติจึงต้องเป็นไปตามความในหมวด 2 พระมหากษัตริย์ ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งมาตรา 23 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวบัญญัติว่า “ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ” คณะรัฐมนตรีจึงขอแจ้งมาเพื่อทราบว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม 2515 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีสถาปนาเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ เป็น “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร” ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต ท่ามกลางมหาสมาคม ประกอบด้วย พระบรมวงศานุวงศ์ คณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต ข้าราชการ ทหาร พลเรือน และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ต่อมาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ตรัสถวายสัตย์ปฏิญาณสาบานในการพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วยแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร อนึ่ง ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 มาตรา 4(1) บัญญัติ “พระรัชทายาท” คือ เจ้านายเชื้อพระบรมวงศ์ พระองค์ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สมมติขึ้น เพื่อเป็นผู้ทรงสืบราชสันตติวงศ์สนองพระองค์ต่อไป และ มาตรา 4(2) บัญญัติว่า “สมเด็จพระยุพราช” คือ พระรัชทายาทที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้นเป็นตำแหน่งสมเด็จพระยุพราช โดยพระราชทานยุพราชาภิเษกหรือโดยพิธีอย่างอื่นสุดแท้แต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  คณะรัฐมนตรีจึงแจ้งมายังประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติในฐานะประธานรัฐสภาเพื่อทราบว่า “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นพระรัชทายาทที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งไว้แล้ว ตามความในมาตรา 23 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และทรงสถิตอยู่ในที่พระรัชทายาทสืบมาจนถึงปัจจุบัน”  จึงกราบเรียนมาเพื่อทราบ และโปรดพิจารณาดำเนินการต่อไป ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง ลงชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อที่ประชุมสนช.ในฐานะที่ “ประชุมรัฐสภา” โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภาสนช. ได้เรียกประชุมสมาชิกสนช.จำนวน 243 คน โดยส่วนที่เหลือนั้นไม่ป่วยก็ลาไปต่างประเทศ แต่ครบองค์ประชุม ที่มีการเรียกประชุมเวลา 11.15 น. และที่ประชุมสนช.ได้รับทราบหนังสือจากนายกรัฐมนตรีแจ้งเรื่อง “การสถาปนาแต่งตั้งพระรัชทายาท ไว้แล้วตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์พ.ศ.2467” โดยสมาชิกสนช.ทุกท่านได้รับทราบพร้อมลุกขึ้นยืนถวายพระพรชัย พร้อมกล่าวเปล่งเสียงพร้อมเพรียงกันว่า “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ” คราวหน้ามากล่าวกันต่อ ถึงพระราชประวัติของ “พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ รัชกาลที่ 10”