ทองแถม นาถจำนง ข้าพเจ้าพบกลอนของ “คึกฤทธิ์ ปราโมช” อีกบทหนึ่ง ท่านเขียนไว้ในคอลัมน์ “สยามรัฐหน้า 5” ฉบับวันที่ 6 มีนาคม 2516 ดังต่อไปนี้ ๐ บานเย็นยิ้มพริ้มพรายอยู่ชายทุ่ง ต้นผักบุ้งหน้าคว่ำเพราะน้ำเน่า ลำดวนป่วนใจอยู่ไม่เบา กุหลาบเหงาเพราะต้องร้างห่างสามพราน มะลิโกรธโดนเก็บเจ็บทุกวัน มะม่วงบ่นว่าคันเพลี้ยกินก้าน เหลียวดูดอกชบาเห็นหน้าบาน ไม่รู้ว่าสำราญด้วยสิ่งใด น้ำตาหลิวไหลร่วงลงเผาะเผาะ แค้นใจเพราะคนเรียกหลิวร้องไห้ มะพูดหน้าบูดอยู่ริมไพร เพราะโกรธกับต้นมะไฟแต่เช้าเอย ๐ ที่กลอนออกมาแนวแปลก ๆ อย่างนี้ เพราะวันนั้นท่านเขียนถึงเรื่องต้นไม้มีความรู้สึกมีอารมณ์ !ท่านเขียนไว้ว่า “พูดถึงการให้ความเป็นธรรมกันแล้ว ผมก็อยากจะบอกแก่ท่านผู้ที่ชอบปลูกต้นไม้ เล่นต้นไม้ทั้งหลายว่า ขอได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่ต้นไม้ที่ท่านปลูกบ้าง เพราะนักวิทยาศาสตร์รุสเซียเขาได้ทดลองทางวิทยาศาสตร์กับต้นไม้เมื่อเร็ว ๆ นี้ แล้วได้ทราบว่าต้นไม้นั้นมันมีความรู้สึก มีอารมณ์ หรืออย่างที่พระท่านว่ามีเวทนาเหมือนกับคนเหมือนกัน กล่าวคือเมื่อพบกับสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกใจ ก็บังเกิดความยินดีมีสุขเมื่อพบกับสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกใจ ก็เกิดความทุกข์ ความไม่พอใจ ทำไมเขาจึงรู้อย่างนี้ ? เขาทดลองด้วยการเอาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่จะถ่ายทอดความรู้สึกจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้นั้น มาเชื่อมกันเข้าระหว่างคนกับต้นไม้ที่ตั้งเอาไว้ไกล ๆ เมื่อเชื่อมโยงกันแล้ว เขาก็สะกดจิตคน เมื่อสะกดจิตคนแล้ว เขาก็บอกคนที่ถูกสะกดจิตนั้น ให้ดีใจให้มีความสุขคนที่ถูกสะกดจิตนั้นก็ยิ้มแย้มหรือหัวเราะความรู้สึกของคนที่ถูกสะกดจิตนั้นก็ผ่านไปยังต้นไม้ สังเกตดูดอกใบของต้นไม้ก็มีอาการเบิกบานขึ้นเมื่อเขาสั่งให้คนที่ถูกสะกดจิตมีความเสียใจและเป็นทุกข์ ต้นไม้ที่ถูกเชื่อมโยงอยู่ด้วยนั้น ก็แสดงอาการอาการกิ่งก้านใบตกลงเหมือนกับคนเป็นทุกข์ความจริงเขาก็ไม่ได้ยืนยันหรอกครับว่าต้นไม้มีเวทนา รู้ทุกข์รู้สุขได้ เขาบอกแต่เพียงว่าผลแห่งการทดลองครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า ระบบประสาทของต้นไม้และพืชนั้นเป็นระบบที่ใกล้เคียงกับระบบประสาทของมนุษย์ มีการเชื่อมโยงถ่ายทอดความรู้สึกกันได้ แต่เขาบอกว่าต้นไม้ทุกชนิดน่าจะมีความรู้สึก และมีอารมณ์ยินดียินร้าย เช่นเดียวกับมนุษย์เหมือนกันได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ใจหายเพราะผมก็เป็นคนบ้าปลูกต้นไม้อีกคนหนึ่งพูดด้วยใจจริง ก็พยายามทำทุกอย่างที่จะให้ต้นไม้อยู่ดีกินดีมีสุข เพื่อความเจริญเติบโตของต้นไม้แต่บอกตรง ๆ เลยครับ ว่าไม่เคยคิดว่าต้นไม้มันก็มีหัวใจเมื่อรู้ดังนี้แล้วก็เริ่มสงสัยว่า การที่ผมได้ทำอะไรต่ออะไรต่อต้นไม้ด้วยความหวังดีต่อมันนั้น ผมได้ทำให้ถูกใจมันหรือเปล่าก็ไม่รู้ การกระทำบางอย่างของผม ไม่แน่ว่าจะทำให้มันดีใจหรือเสียใจ บางครั้งก็อาจรดน้ำมากไปหรือน้อยไป เพราะไม่รู้ว่าจะถูกใจต้นไม้แค่ไหน บางครั้งไปลิดกิ่งก้านของมันด้วยความประสงค์ที่จะให้มันงอกงาม มันจะเจ็บหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่สำคัญคือบางครั้ง ผมอาจไปทำอะไรเชย ๆ ให้ต้นไม้มันหัวเราะด้วยความขบขันในความโง่ของผมบ้างหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าหากต้นไม้มีเวทนาจริงแล้ว ต้นไม้ก็มีทั้งรูป ทั้งเวทนา เป็นขันธ์สองเข้าไปแล้ว สัญญามันจะมีหรือไม่ ผมไม่ทราบ ต้นไม้จะปรุงแต่งสังขารได้หรือไม่ด้วยตัวของมันเอง ผมก็ไม่ทราบ และต้นไม้จะมีวิญญาณหรือไม่ ผมก็ไม่แน่ใจนักอีกเหมือนกันรู้แต่ว่าต่อไปนี้จะทำอะไรกับต้นไม้ ดอกไม้ หรือผลไม้ จะต้องระวังตัวกว่าเดิม และถ้าเป็นกวีแล้ว จะต้องแต่งบทชมดงแตกต่างไปกว่าที่ท่านเคยแต่งกันมาแต่เดิม ดังต่อไปนี้ ๐ บานเย็นพริ้มพรายอยู่ชายทุ่ง ต้นผักบุ้งหน้าคว่ำเพราะน้ำเน่า ลำดวนป่วนใจอยู่ไม่เบา กุหลาบเหงาเพราะต้องร้างห่างสามพราน มะลิโกรธโดนเก็บเจ็บทุกวัน มะม่วงบ่นว่าคันเพลี้ยกินก้าน เหลียวดูดอกชบาเห็นหน้าบาน ไม่รู้ว่าสำราญด้วยสิ่งใด น้ำตาหลิวไหลร่วงลงเผาะเผาะ แค้นใจเพราะคนเขาเรียกหลิวร้องไห้ มะพูดยืนหน้าบูดอยู่ริมไพร เพราะโกรธกับต้นมะไฟแต่เช้าเอย ๐