หลังการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ วันที่ 7 สิงหาคมศกนี้ ไม่ว่าผลการลงมติจะออกมาเป็นเช่นไร เราก็เชื่อว่าคนไทยยังหวังให้มีการปฏิรูปการเมืองต่อไปตามแนวทางสันติภิวัฒน์ คือสร้างการเมืองใหม่ให้สำเร็จโดยไม่เกิดความรุนแรง การเมืองแบบไทย ๆ ในอดีตมีปัญหามาก เพราะทั้งนักการเมืองและประชาชนคนไทยทั่วไป เข้าใจ “การเมือง” ในด้านเดียว คือ “การเมือง” ในความหมายที่ได้แก่การช่วงชิงอำนาจ ซึ่งฝรั่งเรียกว่า Power Politics คนไทยส่วนใหญ่ใช้คำว่า “การเมือง” ในความหมายเช่นนี้ คือมองเห็นแต่ในแง่การช่วงชิงอำนาจ ทำให้การเมืองในเมืองไทยมีแต่การปรักปรำให้ร้ายกัน ทำให้การเมืองในเมืองไทย มีแต่ความระแวงกัน ทำให้การเมืองในเมืองไทยมีแต่เล่ห์เหลี่ยม ขาดความร่วมมือในกรณีที่ควรร่วมมือ ขาดความไว้ใจซึ่งกันและกัน ดีแต่ชิงไหวชิงพริบกันเพื่อหาเสียงหาคะแนนนิยม ลืมหน้าที่ ลืมความรับผิดชอบ ลืมประโยชน์ของประชาชน และที่สำคัญที่สุดก็คือทำให้คนดีเหนื่อยหน่ายในการเมืองและพากันรามือจากการเมือง “การเมือง” ในเมืองไทยจึงกลายเป็นเรื่องร้อนเกี่ยวข้องเข้าที่ไหนก็เกิดความไม่สบายใจขึ้นที่นั่น ทั้งนี้ก็เห็นจะเป็นเพราะเราเล่นการเมืองอยู่แง่เดียว คือแง่หาเสียงและการช่วงชิงอำนาจ จึงจำเป็นต้องปฏิรูป นักการเมืองอาชีพก็บอกว่าเห็นด้วยที่จะปฏิรูป แต่มันจำเป็นต้องเลือกตั้งกันก่อน ให้ประชาชนตัดสินใจเลือกนักการเมืองมาเป็นตัวแทน แล้วเดี๋ยวพวกตัวแทนเหล่านั้นก็จะปฏิรูปให้ประชาชน คำสัญญาอย่างนั้น มันใช้กันมานมนาน จนหมดความน่าเชื่อถือ ตอนนี้หันไปทางไหน จึงหาทางออกไม่เห็น เพราะคนไทยมอง  “การเมือง” เป็นแต่การช่วงชิงอำนาจระหว่างนักการเมืองแต่อย่างเดียว การเมืองควรเป็นเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรของรัฐหรือสิ่งที่มีคุณค่าทางสังคม การเมือง เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในการจัดสรรแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าต่าง ๆ ให้กับสังคมอย่างชอบธรรม (The authoritative allocation of values to society) แต่ เราจะทำการเมืองอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อ ในสังคมนั้น ๆ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับผลกระทบจากทั้งทางตรงและทางอ้อม มีความเห็นพ้องต้องกันและยอมรับในกติกาที่กำหนดการใช้อำนาจเพื่อแบ่งปันสิ่งที่มีคุณค่าเท่านั้น ถ้าคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ยังไม่มีความเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับกติกาการกำหนดสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม การเมืองก็ยังจะเป็นการแย่งยึดอำนาจกันต่อไป สังคมไทยได้รับบทเรียนจากความขัดแย้งทางการเมืองขั้นวิกฤติ บทเรียนจากการมีรัฐประมารมาแล้ว เราก็หวังว่า บทเรียนจากการลงประชามติครั้งนี้จะช่วยถมทางไปตามเส้นทางสันติภิวัฒน์ต่อไป