“สงครามข่าว” ประเด็น ประเทศไทยมีความเสี่ยงเกิดรัฐประหารสูงอันดับสองในโลก เป็นตลกร้าย ที่ยังหลอกคนไทยได้เยอะ ถ้าเราอยากจะตลกร้ายบ้าง ก็ขอสะกิดว่า เมื่อมีความเสี่ยงจะเกิดรัฐประหารอีก ก็แสดงว่าปัญหาวิกฤติการเมืองยังไม่หมดไป ยังแก้ปัญหาไม่จบสิ้น หากมีการเลือกตั้ง ก็เสี่ยงที่จะเกิดรัฐประหารอีก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องเร่งร้อนเลือกตั้งกัน ในทางตรงข้าม ควรจะเร่งขุดรากถอนโคน ต้นตอของวิกฤติการเมืองอย่างจริงจัง มากกว่าสองปีที่ผ่านมา เพราะฝรั่งบอกแล้วว่า ปัญหาการเมืองยังรุนแรงอยู่ (จึงเสี่ยงที่จะเกิดรัฐประหารเป็นอันดับที่สองในโลก) ประเทศไทยจึงควรเชื่อฟังฝรั่ง ยังไม่ต้องเลือกตั้ง แต่ควรทบทวนมาตรการปราบปรามวิกฤติว่า ที่ทำมาสองปีนั้น อ่อนแอเกินไปหรือไม่ ? จากคำเตือนของฝรั่งเรื่องความเสี่ยงจะเกิดรัฐประหาร นอกจากมองให้เป็นตลกร้ายอย่างข้างต้นแล้ว ก็ยังมีประเด็นที่ควรไตร่ตรองแบบตลกลึกด้วยว่า อะไรคือต้นตอทีทำให้เกิดการรัฐประหาร ? ถ้าตอบว่าเพราะทหารไทยเลว แสวงหาอำนาจปกครองบ้านเมือง และ/หรือมีความคิดโบราณล้าหลัง คำตอบนี้อาจหาคนเชื่อยาก เพราะทหารทั้งโลกก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ ทหารไทยมิได้เลวร้ายนำหน้าทหารชาติอื่นหรอก คำตอบที่นิยมนำมาอธิบายอีกข้อหนึ่งคือ เมืองไทยมีความเสี่ยงรัฐประหารเพราะปัญหานักการเมืองด้อยคุณภาพ ซึ่งพูดให้ตรงและลึกกว่า ก็ควรจะพูดว่า เพราะ “คนไทยด้อยคุณภาพ” แต่ชาวบ้านไทยก็จะโกรธและแย้งว่า ชาวบ้านไม่ด้อยคุณภาพ นักการเมืองต่างหากที่ด้อยคุณภาพ การต่อสู้ในทางการเมืองเป็นการต่อสู้ระหว่างคณะบุคคล เพื่อเข้าเสวยอำนาจทางการเมือง แล้วนักการเมืองเข้ามาครองอำนาจได้อย่างไร ? ถ้าชาวบ้านไม่ลงคะแนนเสียงให้ ดังนั้นเมื่อด่าการเมือง มันก็เท่ากับด่าประชาชนนั่นแหละ ปัจจัยทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดรัฐประหารอีกเรื่องหนึ่ง คือ “คนไทยเล่นการเมือง” มิใช่ทำงานเสียสละเพื่อการเมือง นักการเมืองเขา “เล่น” กันเท่านั้น เล่นจนรวยแล้วเดียวก็เลิกไปเอง ! พรรคการเมืองเมืองไทยส่วนใหญ่แล้วก็ยังไม่เป็นพรรคการเมืองตามที่ควรจะเป็น หรือตามทฤษฎีในตำราระบอบประชาธิปไตย เพราะยังเป็นแค่ “กลุ่มพวก” คือพรรคการเมืองมีลักษณะความเป็นส่วนตัว (เฉพาะกลุ่มพวก) พูดง่าย ๆ พรรคการเมืองไม่มีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน จะต่างกันก็แค่ ใครหรือคณะใดเป็นผู้กุมอำนาจในพรรค แล้วถ้าพรรคนั้นเป็นพรรคใหญ่มีสิทธิ์ได้เป็นรัฐบาล ใครหรือคณะใดที่เป็นผู้คุมพรรคการเมืองนั้น ๆ ก็สามารถคุมประเทศได้ ที่หนักหนาสาหัสคือ ในเมืองไทยนี้คน ๆ เดียว ก็อาจได้กุมอำนาจในพรรคการเมือง แล้วจากนั้นกาจได้กุมอำนาจประเทศ ซึ่งเมื่อเป็นอย่างนั้น ระบอบประชาธิปไตยมันจะเหลือความหมายอะไร ? ทั้งหมดที่เขียนมาข้างต้นเป็นเรื่องตลกขำขัน เล่าให้ฟังสนุก ๆ เพื่อผ่อนคลายเท่านั้น