เมื่อเวลา 16.00 น. กลุ่มพลังชาวพุทธนำโดยนายอัยย์ เพชรทอง ศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้ตั้งโต๊ะแถลงการณ์ฉบับที่ 3 โดยเปิดเผยว่า ขณะนี้ทั่วโลกกำลังจ้องดูปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับพุทธศาสนาในประเทศไทยซึ่งมีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ทุกฝ่ายควรตั้งสติทบทวนความเป็นมาและดำเนินการให้เหมาะสมกับสติและปัญญา กรณีวัดพระธรรมกายซึ่งรัฐได้กล่าวหาพระเทพญาณมหามุนี ว่าฟอกเงินและรับของโจรจากการรับถวายทรัพย์เพื่อนำมาใช้ในกิจการศาสนา รัฐบาลได้ใช้มาตรา44 นำกำลังทหารตำรวจจำนวนมากเข้ามาปฏิบัติการที่วัดพระธรรมกาย ภาพของการใช้ความรุนแรงนี้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกถือว่ารัฐเองเป็นผู้นำประเทศชาติไปสู่ความเสียหายอย่างยิ่ง การใช้กองกำลังปิดล้อมวัดห้ามพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา เข้าออกรวมไปถึงการปิดถนนรอบๆวัด ไม่เพียงแต่สร้างความเดือดร้อนให้กับบุคลากรที่อยู่ในวัด แต่ประชาชนนับพันหลังคาเรือนตั้งแต่คลองหนึ่งถึงคลองสี่ ก็ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย พ่อค้าแม่ค้าแถวตลาดคลองสาม และคลองแอน ต้องหยุดกิจการ เด็กๆหลายร้อยคนต้องหยุดเรียน หรือเดินทางลำบากขึ้นกสรจราจรรอบๆวัดติดขัดมหาศาล เพราะด่านตรวจมากมายตลอดเส้นทาง กล่าวต่อว่า ทั้งหมดนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการคืนความสุขให้กับประชาชน หากแต่คือการสร้างความเดือดร้อน และลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งมีการตั้งคำถามว่าหลังจากการเข้าตรวจค้นภายในวัดอย่างละเอียดเป็นเวลาสามวัน เหตุใดดีเอสไอ จึงยังปักหลักล้อมวัด สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนมาจนถึงขณะนี้ เป้าหมายของการควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย อท้ที่จริงแล้วคืออะไรกันแน่ เพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ และความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชน และพุทธศาสนิกชนทั่วโลก กลุ่มพลังชาวพุทธ จึงขอเรียกร้องแบะวิงวอนให้นัฐบาลไทย ยกเลิกการใช้มาตรา 44 กับวัดพระธรรมดายและดำเนินการตามกฏหมายด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม หลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายใดๆต่อประชาชน โดยขอให้ตัดสินใจทบทวนการดำเนินการเสียใหม่โดยทันที ต่อมาเมื่อเวลา 17.00 น.หลังเสร็จสินการแถลงการณ์ นายอัยย์ เพชรทอง ศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้นำสามเณร จำนวน 20 รูป พร้อมตัวแทนศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย 20 คนได้ตั้งขบวนก่อนเดินลอดอุโมงค์ใต้สะพานข้ามถนนคลองหลวงมายังฝั่งประตู 5-6 ซึ่งเป็นทางเข้าวัดพระธรรมกายเพื่อนำ ผัก ผลไม้ และของแห้งไปมอบให้กับพระภิกษุที่นั่งสวดอยู่บริเวณถนนเรียบคลองแอน แต่เมื่อมาถึงปากอุโมงค์ทางขึ้น ก็มาพบกับแนวสกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน และตำรวจภูธรภาค7 โดยมี สมบัติ มิลินทจินดา รอง ผบช.ภ.1 เข้าเจรจา ใช้เวลาเจรจาประมาณ 20 นาที ทั้งสองฝ่ายตกลกและคุยกันด้วยดีก่อนที่ทางเจ้าหน้าที่จะให้กลุ่มลูกศิษย์พระสงฆ์ สามเณรนั้นนำข้าวสาร อาหารแห้งทั้งหมดวางไว้บริเวณด้านหน้าทางเข้าประตู 5-6 และให้เจ้าหน้าที่นไปเก็บรักษาไว้ก่อน อย่างไรก็ตามต้องรอให้ทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ อนุญาตให้นำข้าวของเข้าไปภายในวัดเสียก่อนจึงจะนำส่งต่อไปยังวัดได้ ด้าน พล.ต.ต.สมบัติ กล่าวว่าทั้งนี้ต้องขอไปคุยก่อน การเอาของเข้าออกต้องเป็นหน้าที่ของดีเอสไอ ที่จะอนุญาตได้ซึ่งตอนนี้ไม่สามารถให้เอาเข้าไปได้ เนื่องจากเป็นหน้าที่ของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปข้างในได้และต้องเป็นไปตามขบวนการของกฎหมาย ซึ่งแถวของทางเจ้าหน้าทีตำรวจในพื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถเปิดได้ เนื่องจากข้างในเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ ต่อมาด้าน พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีดีเอสไอเดินทางมาที่บริเวณดังกล่าว ก่อนพูดคุยเจรจากับกลุ่มพระสงฆ์และทางลูกศิษย์ที่เป็นผู้นำอาหารมาให้ พร้อมเปิดเผยว่า ตนรับทราบเรื่องทั้งหมดแล้วตนจะเป็นคนพิจารณาและรับผิดชอบอาหาร เหล่านี้ทั้งหมดเองว่าเหมาะสมหรือไม่ หากไม่มีการติดขัดใดๆก็จะมห้นำอาหารทั้งหมดไปส่งให้ที่ประตู 7 ในวันพรุ่งนี้เช้าต่อไป ในสวนวันนี้ก็จะดำเนิน พิจารณาก่อนและเริ่มดำเนินการโดยทันที อย่างไรก็ตามทั้งนี้ต้องของให้นำข้าวของวางไว้บริเวณจุดดังกล่าวก่อนซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นผู้ดูแลข้าวของไม่ให้มีความเสียหาย ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังเสร็จสิ้นการเจรจากลุ่มพลังชาวพุทธ พระสงฆ์ สามเณร ต่างส่งเสียงสาธุ สาธุ และยอมรับข้อเสนอของทาง พ.ต.ต.สุริยา ก่อนแยกย้ายกลับไปที่บริเวณตลาดกลางคลองหลวง ตามเดิม