“บิ๊กตู่” หอบคณะเยี่ยมชาวศรีสะเกษ เช็คความก้าวหน้าเกษตรแปลงใหญ่ตามแนวทาง “อ้าง”รัฐบาลนี้เข้ามาเพื่อปรับระเบียบ จัดระบบวางพื้นฐานประเทศใหม่ วอนนำศาสตร์พระราชาและปรัชญาเศรษบกิจพอเพียงมาใช้แม้จะสายไปบ้าง แต่ก็ไม่สายเกินไป เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 24 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฯลฯ ออกเดินทางด้วยเครื่องบินแอมแบล บ.ท.135 จากฝูงเครื่องบิน กองการบิน ศูนย์การเคลื่อนย้ายกองทัพบก ดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานทหารกองบิน 21 จ.อุบลราชธานี จากนั้นเดินทางต่อด้วยเฮลิคอปเตอร์เพื่อตรวจพื้นที่การเกษตร ก่อนไปยังจุดจอดสนามกีฬาโรงเรียนราษีไศล อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ เพื่อตรวจราชการที่จังหวัดศรีสะเกษ ติดตามการขับเคลื่อนนโยบายเกษตรแปลงใหญ่โดยกลไกประชารัฐ จากนั้นเวลา 09.25 น. พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางมายังหอประชุมเทพายโรงเรียนราษีไศล พบปะกับข้าราชการ ประชาชน ที่มารอรับกว่า 3,000 คน โดยนายธวัช สุระบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวรายงานว่า มีนายทองจันทร์ ศรีสุธรรม นักจัดรายการวิทยุชื่อดังของจังหวัดทำหน้าที่โฆษก ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด กล่าวรายงานว่า ในปี 2560 จ.ศรีสะเกษได้ดำเนินการส่งเสริมการเกษตรในรูปแปลงใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 22 อำเภอ ปลูกข้าว ทุเรียน พริก หอมแดง กระเทียม และการทำปศุสัตว์ มีพื้นที่การดำเนินงานแปลงใหญ่รวม 165,493 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 14,375 ราย ทำให้เกษตรกรมีความเข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการผลิตผลสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ต้นทุนการผลิตลดลง คุณภาพผลผลิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นกล่าวบนเวที ซึ่งประดับตกแต่งด้วยหอมแดงกระเทียม สินค้าเกษตรขึ้นชื่อของจังหวัดว่า ดีใจที่ได้มาเจอกับชาวราษีไศล การมาครั้งนี้ต้องการเห็นความเป็นอยู่ และต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้เร็วที่สุด ยิ่งถ้าเกิดได้ในสมัยที่ตนเป็นรัฐบาลอยู่ได้ยิ่งดี ถ้าไม่ได้ก็ต้องวางรากฐานให้เจริญเติบโตต่อไปในอนาคต อย่ามองแค่วันนี้พรุ่งนี้ อย่าลืมว่าประเทศไทยมีศาสตร์พระราชา มีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงควรต้องนำมาใช้อย่างจริงจังแม้จะสายไปบ้าง แต่ก็ไม่สายจนเกินไปที่จะกลับมาดูแลตัวเองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมาจากอะไร ทำไมจึงมีหนี้สิน ทำไมไม่มีที่ดินทำกิน ทำไมยังประกอบอาชีพเกษตรกรรมทั้งๆที่ราคาผลผิตยังตกต่ำ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากใครและสาเหตุอะไร ความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งสังคมที่ยังไม่สงบสุขนั้นเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจทั้งสิ้น การพัฒนาให้เจริญเติบโตเพียงคนเดียวจึงเป็นไปไม่ได้ ขอทำความเข้าใจว่ารัฐบาลนี้เข้ามาเพื่อปรับระเบียบ จัดระบบวางพื้นฐานและรากฐานของประเทศใหม่ เพราะอยู่แบบนี้มานานไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้อาจจะมีความสุขบ้างแต่ก็เฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น “ผมไม่ได้ต้องการให้เกิดความแตกแยก แต่ต้องการกระจายความสุขให้กับทุกคน จะมากหรือน้อยก็อยู่ที่การพัฒนาตัวเอง การที่มีคนมาสัญญาว่าถ้าได้ตำแหน่งแล้ว จะทำโน่นทำนี่ให้นั้นขอให้รู้ไว้ว่าไม่เป็นความจริง เป็นแค่การสร้างความต้องการเทียม สุดท้ายก็เกินความต้องการที่พึงมี สินค้าที่ผลิตก็ขายไม่ได้ เราจึงจำเป็นต้องปรับและพัฒนาตัวเอง เช่นเรื่องการปลูกข้าวเราต้องรู้ว่าตลาดมีความต้องการอย่างไร จำนวนเท่าไหร่ ผมเห็นใจที่หลายคนยังมีหนี้สิน และแม้ผมจะไม่มีหนี้สินแต่ผมก็รวมหนี้ของทุกคนไว้ในใจและอกของผม เท่ากับหนี้ของท่านคือหนี้ของผมไม่รู้กี่แสนล้านบาท ทั้งเกษตรกร ครู ตำรวจ ทหาร แต่วันนี้ได้รับรายงานว่า จังหวัดศรีษะเกษมีแนวโน้มสถานการณ์ที่ดีขึ้นทั้งเรื่องของน้ำ การเกษตร ดังนั้นวันนี้ต้องหาตัวเองและศักยภาพให้เจอและทำด้วยตัวเองจะได้เข้มแข็งโดยไม่ต้องไปพึ่งพาคนอื่น” นายกรัฐมนตรี กล่าว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า เมื่อตนรู้ว่าจะมาศรีษะเกษก็นอนไม่หลับ เพราะชาวศรีษะเกษน่ารัก ที่พูดไม่ใช่ปากหวาน แต่สัมผัสได้ถึงความจริงใจ รู้ว่าพวกเรามีความลำบากอย่างไรในช่วงที่ผ่านมา จากการสำรวจพบว่าหลายอย่างดีขึ้น แต่ยังของแห้งแล้ง เราให้ความสำคัญกับจังหวัดศรีษะเกษเพราะมีรัฐมนตรีหลายคนมาร่วมลงพื้นที่ในวันนี้ ตนจะมอบหมายให้นายอาคม ช่วยสนับสนุนสร้างแบรนด์ที่เป็นของจังหวัด “วันนี้มีฝ่ายการเมืองเสนอให้ใช้มาตรา 44 ปลดหนี้ให้เกษตรกร ถามว่าสามารถทำได้หรือไม่ การเมืองเป็นเรื่องของอนาคต แต่วันนี้ต้องเอาเรื่องเกษตรกรให้ดีก่อน หลายประเทศให้ความเชื่อมั่นในประเทศไทย อาจพบเห็นการทุจริตก็ขอให้แจ้งมาที่รัฐบาล” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว