เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 26 ก.พ.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประตู 7 วัดพระธรรมกาย มีพระเณร ทั่วประเทศ ประมาณ 300 รูปเดินทางมา เพื่อแสดงจุดยืน โดยมีพระตัวแทนจากวัดพระธรรกายมาต้อนรับ โดยพระที่มาจากวัดต่างจังหวัดรูปหนึ่ง เผยว่า หลังได้เกิดเหตุชายสูงวัยผูกคอตาย ถือเป็นการย่ำยีพระพุทธศาสนา เกินที่จะทนรับได้จึงมาแสดงพลัง โดยทรัพย์เป็นอาคาร ที่ดินนั้นเมื่อพระธรรมชโยมรณะภาพแล้วก็เอาไปไม่ได้ วัดธรรมกายทำหน้าที่สืบสานเผ่นแพ่พุทธศาสนามานาน ช่วยเหลือวัดที่เดือดร้อนทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วกลับกลายเป็นว่าจะกลายเป็นภัยต่อพุทธศาสนาไปเสียแล้ว อย่างนี้มีที่ไหน จากนั้นพระมีการอ่านหนังสือขอความอนุคราะห์ ขอบบิณฑบาตร มาตรา 44 ว่า เนื่องด้วยได้ติดตามข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ ที่ทางหมายเรียกครั้งที่ 1 วัดธรรมกาย เกี่ยวเนื่องคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน จนมีหมายจับ แล้วเข้าค้นแล้วก็ไม่พบ กระทั่งมีตำรวจมากมาย เข้าค้น จึงเป็นห่วงต่อสวัสดิการเหล่าพระและศิษย์ ขอให้หานายกรัฐมนตรี หาทางออกอย่างสันติวิธี เพื่อประคับประคองจิตใจอันบอบช้ำให้ลูกหลานชาวไทย จดบันทึกประวัติศาสตร์ การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ สวดมนต์ ต่อมาเจ้าหน้าที่ จากดีเอสไอ ออกมารับหนังสือ และใช้ไมค์โครโฟนชี้แจง โดยชี้แจงว่าทางการไม่เคยห้ามการ ปฏิบัติกิจของสงฆ์เลยยังคงให้ออกบิณฑบาตร เพียงแต่เป็นมีข้อตกลงว่าพระที่จะจำวัดพระธรรมากยได้ ต้องเป็นพระลูกวัดพระธรรมกายเท่านั้น หากเป็นพระจากวัดอื่นจะไม่ให้เข้าวัดพระธรรมกาย หลังจากนั้นพระทั้งหมดได้นั่งลงและสวดชยันโต ทำให้ตำรวจนั่งลงกับพื้นและรับศิลรับพรด้วย ต่อมาทหารได้นิมนต์พระทั้งหมดไปฉันท์เพล ขณเดียวกัน มีตัวแทนของวัดธรรมกาย รูปหนึ่ง เปิดเผยว่า จะมีการทำให้คณะสงฆ์อ่อนแอ มีการท่องกันว่า "ทำลายธรรมกาย พิฆาตมหาเถร" เพื่อให้คณะสงฆ์อ่อนแอ แล้วออกกฎหมายล้วงย่ามพระ ส่วนประเด็นความผิดต่างๆ นั้นเปรียบเหมือนว่า หากประธานบริษัททำผิดก็จับ ประธานบริษัท ไม่ใช่มาล้มบริษัท อย่างความผิดของพระธรรมชโย ก็จับพระธรรมชโย ไม่ใช่มายึดว่า มาปิดวัด มาล้อมวัด อย่างนี้ ในตอนนี้เราต้องการแค่ สิทธิพื้นฐานของบุคคลเท่านั้น