รัฐบาลทุ่มเม็ดเงิน 3.5 หมื่นล้านบาทหนุนกองทุนหมู่บ้าน ขับเคลื่อนร้านค้าและตลาดประชารัฐต้นแบบเพื่อชุมชนคาดเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้นกว่า 125,000 ล้านบาท 8 มี.ค. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ อนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการ ในกรอบวงเงิน 35,000 ล้านบา โดยรัฐบาลจะสนับสนุนเงินทุนให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 79,566 กองทุน วงเงินไม่เกินกองทุนละ 500,000 บาท เพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในหมู่บ้านและเพื่อดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ที่หมู่บ้านเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ในหมู่บ้านและชุมชนให้ดีขึ้น สำหรับในวันที่ 8 มี.ค.60 กองทุนหมู่บ้าน จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับ 60 ภาคีเครือข่าย ผลักดันการขับเคลื่อนร้านค้าและตลาดประชารัฐต้นแบบ เพื่อส่งเสริมร้านค้าชุมชนให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน นายสมคิด กล่าวต่อว่าการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ จะต้องมอง 2 ปัจจัยหลัก คือความสามารถแข่งขัน ซึ่งปัจจุบันการผลิตสินค้าส่งออกเริ่มแข่งขันได้ยาก เพราะเป็นการค้าล้าสมัย และเริ่มเสียเปรียบ จึงต้องพยายามฟื้นและพัฒนา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มองไปถึงการผลักดันสู่เศรษฐกิจ 4.0 และปัญหาความยากจน ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ คนไทยส่วนใหญ่จน คนรวยกระจุกตัว ทำให้ไม่เกิดการขยายตัวแบบยั่งยืน จึงต้องมีการพัฒนาส่งเสริม เพื่อให้คนไทยที่มีรายได้น้อย ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ที่ผ่านมาใช่ว่าโครงการประกับราคาข้าว ผ่านจำนำข้าว เมื่อหมดไปก็ไม่ยั่งยืน ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องขับเคลื่อนจากนี คือการให้เกษตรกร เพิ่มมูลค่าผลิตสินค้าได้หลายหลาย เพิ่มประสิทธิภาพ และต้นทุนต้องถูกลง ซึ่งจะทำให้ชุมชนเข้มแข็ง ขณะเดียวกัน ต้องมำควบคู่กับการหาตลาดรองรับ เพื่อให้มีที่ขาย ไม่เน้นเพียงการส่งออก แต่ต้องมีตลาดเข้มแข็ง โดยเชื่อมโยงการท่องเที่ยว ดึงรายได้ที่มีนักท่องเที่ยวต่อปีถึง 30 ล้านคน ไม่ให้กระจุกตัวอยู่เฉพาะกรุงเทพและเมืองใหญ่เพียงเท่านั้น แต่ต้องกระจายไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ด้วย ทั้งนี้ได้ให้นโยบายกระทรวงการท่องเที่ยว และททท.ให้ส่งเสริมนักท่องเที่ยว เข้าไปยังชุมชน ทำให้ตลาดชุมชน มีการซื้อขาย รวมทั้งการส่งเสริมออกไปยังต่างประเทศ ได้มอบให้ บีโอไอ ศึกษาการตั้งซุปเปอร์สโตร์ ในต่างประเทศ ไม่เพียง เออีซีเท่านั้น เพื่อกระจายสินค้าชุมชนของไทย สร้างรายได้ให้กับท้องเถิ่น โดยไม่พึ่งกาการส่งออกเพียงอย่างเดียว ที่พึ่งถึงร้อยละ 70 ทำให้กระทบทันที เมื่อเศรษฐกิจโลกประสบปัญหา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะต้องผลักดันต่อเนื่อง เมื่อประชาชนและชุมชนแข็มเข็ง การเมือง ก็จะเข้มแข็งไปด้วย โดยในเดือนพ.ค.นี้ จะมีการเปิดตัวโครงการ สัมมาชีพประชารัฐ ร่วมกับสมาคมสัมมาชีพ ในการอบรบถ้ายทอดความรู้และพัฒนาจนกตัวแทนชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นโครงการใหม่ เป็นอีกหนึ่งส่วนที่จะมีผลให้ขุมชนเขัมแข็ง และจะมีผลชัดเจนตามแผนใน 5 ปีข้างหน้า นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เป็นหนึ่งในกลไกหลักที่ร่วมพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศและสร้างโอกาสให้ประชาชนเติบโตก้าวหน้า ตามแนวคิด Local Economy ที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจโดยการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ช่วยเหลือเกษตรกร ในธุรกิจ SME และวิสาหกิจชุมชน เพื่อสร้างความสมดุลของภาคการผลิตและการค้า ใช้กระบวนการประชารัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างความเข้มแข็ง ปัจจุบัน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้ดำเนินการ มีสมาชิกมากกว่า 13 ล้านราย วงเงินกู้เพื่อใช้ประโยชน์เติบโตต่อเนื่องทุกปี ได้สร้างกลไกการตรวจสอบที่โปร่งใสเป็นธรรม โดยมีคณะอนุกรรมการจากทุกภาคส่วนร่วมกำกับดูแลสร้างกติกาในระดับประเทศ และมีคณะดำเนินงานในแต่ละกองทุนทำหน้าที่ตรวจทานความเหมาะสมรายโครงการ ทั้งช่วงก่อนการอนุมัติและช่วงดำเนินการ อีกทั้งมีอาสาสมัครประชารัฐกว่า 240,000 คนคอยติดตามและสนับสนุนโครงการต่างๆให้ประสบผลสำเร็จตามแนวทางประชารัฐอย่างแท้จริง จากการสนับสนุนระดับนโยบายของรัฐบาลผ่านโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐในปีที่ผ่านมา ทำให้หลายชุมชนสามารถจัดตั้งตลาดและร้านค้า ส่งเสริมเศรษฐกิจในชุมชนได้สำเร็จ ปัจจุบันมีร้านค้าชุมชนถึง 19,270 แห่ง และตลาดชุมชนอีก 1,359 แห่ง ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนให้สามารถจัดตั้งและเริ่มดำเนินการได้จริง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า มิติในการพัฒนาตลาดและร้านค้าครั้งนี้ ไม่ใช่มิติในการพัฒนาเหมือนเดิม แต่เป็นมิติในการพัฒนาที่เติมเทคโนโลยีเข้าไป เติมการบริหารจัดการเข้าไป เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญในชุมชน สร้างอาชีพเพื่อเป็นทางเลือกนอกเหนือจากการเกษตรโดยไม่ต้องเข้าเมืองใหญ่ สร้างเวทีให้สินค้าชุมชนมีช่องทางการขายให้เติบโตก้าวหน้า ลดรายจ่ายให้ประชาชนจากการเข้าถึงสินค้าราคายุติธรรม และคืนกำไรจากการดำเนินการกลับสู่ชุมชนเพื่อนำไปพัฒนาท้องถิ่นและต่อยอดการสร้างโอกาสต่อไป สำหรับในปีนี้มีเป้าหมายที่สร้างร้านค้าชุมชนต้นแบบ 200 แห่ง และตลาดชุมชนต้นแบบอีก 200 แห่ง เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาค นอกจากนี้ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ได้ของบกลาง 3,000 ล้านบาท มาพัฒนาตลาดต้องชม ตลาดสินค้าเฉพาะ เช่น การเปิดตลาดทุเรียนที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน ด้านนายนที ขลิบทอง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการดำเนินกิจกรรมร้านค้าประชารัฐ และตลาดประรัฐ ดังกล่าว จะทำให้เศรษฐกิจฐานรากมีเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้นกว่า 125,000 ล้านบาทต่อปี สร้างงานให้ประชาชนในชุมชนกว่า 260,000 อัตรา อีกทั้งเป็นการสร้างกลไกรัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างตรงจุด โปร่งใสและวัดผลได้จริง