เมื่อวันที่ 14 มี.ค. เวลา 16.00น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ว่า ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการเบื้องต้น และปรับถ้อยคำให้สมบูรณ์ เพื่อเตรียมออกคำสั่ง คสช.มาตรา 44 เรื่อง มาตรการความปลอดภัยในการใช้รถโดยสารสาธารณะ สืบเนื่องจากกรณีอุบัติเหตุรถตู้โดยสารพุ่งชนรถกระบะทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายรายเมื่อช่วงต้นเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้เกิดประเด็นย่อยขึ้นมามากมายในความไม่ปลอดภัยของรถตู้โดยสาร เช่น บานกระจกมีขนาดเล็ก กระโปรงท้ายรถที่เปิดยาก จะเห็นได้ว่าปัญหาเกิดขึ้นจาก สภาพตัวรถที่ไม่มีความปลอดภัย การควบคุมของผู้ประกอบการต่อเจ้าหน้าที่ผู้ใช้รถ และพนักงานขับรถที่ไม่พร้อม เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ ชั่วโมงการเดินรถมากไป หรือขับรถเร็วเกินกำหนด อย่างไรก็ตามต่อจากนี้ผู้ประกอบการจะต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ ประเภท ลักษณะชนิดรถโดยสารให้มีความปลอดภัย ก่อนเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ 2560 ดังนั้นจะมีระยะเวลาให้ไปปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ “ก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับผู้ประกอบการรถโดยสารในเบื้องต้นไปบ้างแล้ว ทุกคนเห็นตรงกันถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก และยอมรับในกติกา ส่วนรายละเอียดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ กับกรมการขนส่งทางบกจะไปดำเนินการเพิ่มเติมว่าแค่ไหนถึงจะเกิดความปลอดภัย ไม่กระทบกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมากจนเกินไป” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังเห็นชอบในหลักการเรื่องคาดเข็มขัดของผู้โดยสารรถตู้ จะต้องปฏิบัติ หากผู้ประกอบการ หรือพนักงานขับรถปล่อยให้มีการไม่คาดเข็มขัด จะถือว่ามีความผิด รวมไปถึงการล็อคล้อ การห้ามเคลื่อนย้ายรถ ที่สำคัญคือเรื่องของการออกใบสั่งไปที่บ้าน ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เคยพยายามเสนอ ไม่ต่ออนุญาตภาษีรถในกรณีที่ไม่จ่ายค่าปรับใบสั่ง แต่ผู้เกี่ยวข้องชี้แจงว่าทำไม่ได้ เพราะการเสียภาษีให้รัฐเป็นหน้าที่อยู่แล้ว จะปฏิเสธไม่รับเพราะไม่จ่ายค่าปรับไม่ได้ จึงออกคำสั่งเป็นหลักเกณฑ์ว่าถ้าใครได้รับใบแจ้งค่าปรับ ก็สามารถไปต่อภาษีรถได้ แต่เจ้าหน้าที่จะออกเป็นใบแทนให้ก่อน 1 เดือน ซึ่งจะได้ป้ายตัวจริงไปก็ต่อเมื่อจ่ายค่าปรับใบสั่ง หากภายใน 1 เดือนยังไม่จ่าย ก็จะถือว่าใช้รถโดยไม่มีใบอนุญาต