คอลัมน์ เรื่องจากปก “ลับ ลวง พราง” ยื้อศึกธรรมกาย ทุกอย่างเหมือนจะเดินมาถึง “ฉากจบ” แต่ทว่าอาจเป็น “กลลวง” ที่ต่างฝ่ายต่างยังไม่มีใครยอมวางใจ ล่าถอย ถอนทัพออกจากที่ตั้งกันอย่างเบ็ดเสร็จ ! 10 มีนาคม “พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการร่วมตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ทั้ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหาร และสำนักงานพระพุทธศาสนา ตั้งโต๊ะร่วมกันแถลงข่าว ว่าได้ยุติการเข้าตรวจค้นวัด แต่ยังคงตรึงกำลังทุกจุดเหมือนเดิม เพื่อป้องกันมือที่สามที่อาจมาก่อเหตุ ทันทีที่การแถลงข่าวจบลง สิ่งที่ตามมาคือเสียงทอดถอนใจ ไปจนถึงเสียง “ยี้”โวยวายด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งพากันตั้งคำถามว่า นี่คือ “มวยล้มต้มคนดู” อย่างนั้นล่ะหรือ ? ! ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตลอดระยะเวลากว่า 20 วัน นับตั้งแต่มีคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้ “มาตรา44” เข้าควบคุมพื้นที่วัดและบริเวณโดยรอบ ทั้งที่บรรยากาศของการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ ที่สนธิกำลังทั้งจากตำรวจ ทหาร ยกมาสนับสนุนการทำงานของดีเอสไอ จนนำไปสู่การกระทบกระทั่งกันกับ บรรดา “ศิษยานุศิษย์” ทั้งด้วยวาจาและกำลัง ติดตามมาด้วยการปลดฟ้าผ่า ข้าราชการประจำ ไปจนถึงข้าราชการการเมือง ทั้งในระดับในพื้นที่ และส่วนกลาง ซึ่งจะขัดขวางการไล่ล่า “พระธัมมชโย” อดีตเจ้าอาวาส กันเป็นระลอก จนเกิดกระแสที่ว่า ปัญหาวัดพระธรรมกาย อาจจะปิดฉากลงในรัฐบาลยุคคสช.ได้เสียที ! แต่แล้ว...กองเชียร์กลับต้องอกหักไปตามๆกัน เมื่อมีการแถลงข่าวให้ยุติการเข้าค้นวัด เรียกว่าเป็นการเบรคกระทันหัน จนทำให้สายตาทุกคู่ พากันงงงวยไปหมด ต่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น !? เสียงวิพากษ์วิจารณ์ จากบรรดากองเชียร์ และฝั่งตรงข้ามรัฐบาล ที่เป็นแนวร่วมให้กับวัดพระธรรมกาย ต่างพากันขยายประเด็นกันไปต่างๆนานา ทั้งโจมตีว่านี่คือ “ปาหี่” เป็นเกมที่ถูกเซ็ทขึ้นมาแล้วว่า ฝ่ายรัฐบาลจะทำการปิดล้อมวัดพระธรรมกาย ดำเนินการภายใต้ “ดาบอาญาสิทธิ์” อย่างมาตรา 44 แต่เป็นการดำเนินการทั้งที่รู้ดีว่า แท้จริงแล้ว พระธัมมชโย ได้หลบหนีออกจากวัดไปหลายวันก่อนหน้านี้แล้ว ข้อครหา ที่ฝ่ายดีเอสไอ ตลอดจนรัฐบาลต้องเผชิญหน้า นับจากวันที่ 10มี.ค.เมื่อดีเอสไอแถลงยุติการตรวจค้นวัด ดูจะหนักหนาสาหัสอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการหยิบยกความสูญเปล่าจากการใช้เม็ดเงินงบประมาณไปกับปฏิบัติการปิดล้อมวัด ถึง 60 ล้านบาท โดยเฉพาะข้อหาที่ว่าด้วยการใช้อำนาจรัฐ ทำลายศาสนา ที่บรรดาศิษยานุศิษย์ ตลอดจนแนวร่วมได้พากัน ปลุกระดมกระแสดังกล่าว ถือว่าเป็นประเด็นที่อ่อนไหว เปราะบาง แต่กลับฉกาจฉกรรจ์สำหรับรัฐบาลทหารอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ดี มีข้อน่าสังเกตและไม่อาจมองข้ามว่า แท้จริงแล้ว การตัดสินใจสั่งให้ดีเอสไอและเจ้าหน้าที่ยุติการเข้าค้นวัด จาก “ผู้มีอำนาจตัดสินใจ” ตัวจริง เสียงจริงที่อยู่เหนือ ดีเอสไอนั้น อาจไม่ใช่เป็นเพียงการ “ล่าถอย” หากแต่เป็นการถอยเพื่อตั้งหลัก และ “คุมเชิง” ก่อนที่จะเปิดปฏิบัติการ “กระชับพื้นที่” วัดพระธรรมกาย อาณาจักรธรรม ของพระธัมมชโย ในสเต็ปต่อไป ใช่หรือไม่ ! ไม่เช่นนั้นแล้ว คสช.คงมีคำสั่งให้ยกเลิกมาตรา44คุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย เอาไว้จนถึง ณ เวลานี้โดยอ้างว่าเพื่อป้องกัน “มือที่สาม” อาศัยจังหวะสร้างความวุ่นวาย แถมมิหนำซ้ำ ถัดมาเพียง 1 วันหลังการประกาศยุติการค้นวัด ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้เข้าตรวจค้นภายในอาคาร ภาวนาสุทโธ ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ของวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ ฝ่ายวัดพระธรรมกายเอง ต่างไม่สามารถวางใจได้ว่าสถานการณ์ของพวกเขาจะเป็นต่อ ทุกอย่างจะจบลงได้จริง โดยไม่มีรายการ “ตลบหลัง” เกิดขึ้นตามมา ท่ามกลางเสียเยาะเย้ยที่อื้ออึงโจมตีว่าดีเอสไอ รัฐบาลตลอดจน คสช. เป็นฝ่ายคว้าน้ำเหลว อยู่ดีๆกลับ “ถอดใจ” สั่งถอยทัพเช่นนี้ แท้จริงแล้ว เบื้องหลัง เบื้องลึกนั้นมาจากการประเมินสถานการณ์รอบด้านแล้วว่า การใช้วิธีการ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” ใช้กำลังเข้าหักหาญ บุกเข้ายึดวัดพระธรรมกายตามเสียงเชียร์นั้นคงไม่ยากเย็น แต่แล้วมีคำสั่งสำคัญ ที่ทุกคนต้องเงี่ยหูฟัง “ ให้รับการสั่งการจากพล.อ.ประวิตร เพียงคนเดียว หากจะทำให้อะไรให้ทำอย่างละมุนละม่อม ห้ามใช้อาวุธ คนที่เป็นศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศ มีกว่า 4 ล้านคน เท่ากับประชากรของประเทศเพื่อน บ้านบางประเทศเลยทีเดียว ก หากจะใช้กำลังเข้าปะทะ อาจจะทำให้คุมไม่อยู่ และที่สำคัญจะกลายเป็นว่าอาจจะรุนแรงเหมือนกับรบกับประเทศเพื่อนบ้านเลยทีเดียว” รวมทั้งยังมีโอกาสที่จะเกิดผลกระทบต่อความมั่นคง ของประเทศ ในหลายทางขึ้นได้ หากจะให้รบชนะเลยก็ย่อมได้ แต่นั่นหมายความว่า ต้องใช้การรบเต็มรูปแบบ แต่ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า ฝ่ายวัดพระธรรมกายเอง ก็เตรียมพร้อม ที่จะรับมือการบุกของฝ่ายเจ้าหน้าที่เช่นกัน โดยเฉพาะการวางค่ายกล ทั้งขุดคูคลอง และวางถังน้ำมัน ที่บริเวณหน้าประตู 1 ซึ่งเป็นการชี้ว่าฝ่ายวัดพระธรรมกายเองก็มี ทั้งนายทหาร นายตำรวจที่รู้ยุทธวิธีเช่นเดียวกันกับฝ่ายรัฐเช่นกัน ดังนั้นรัฐบาลจะไม่ยอมเข้าไปติดกับดัก ด้วยการตอบโต้ ใช้ความรุนแรงเข้าปะทะ ตามที่ฝ่ายวัดพระธรรมกายต้องการให้เกิดภาพ จีวรเปื้อนเลือด ! จะเป็น “ชนวนเหตุ” ที่จุดไฟให้เกิด “สงครามกลางเมือง” ขึ้นมาตามเกมที่ถูกวางเอาในที่สุด ! หากถามว่าวันนี้ ปฏิบัติการติดตามตัว พระธัมมชโย เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีนั้นยังคงเดินหน้าต่อไป แต่ที่สำคัญเหนือไปกว่านั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาจากนี้ คือการที่อาณาจักรธรรมแห่งนี้ จะยังคงหลงเหลือความขลัง เอาไว้แค่ไหน เพียงใด ความยิ่งใหญ่ที่เคยมีมาในวันวาน อาจไม่สามารถถูกลดทอน และทำลายลงได้ภายในวันเวลาอันสั้น หากแต่เมื่อประตูวัดพระธรรมกายได้ถูกเปิดขึ้น ข้อกล่าวหา ข้อสังเกต และสิ่งที่เคยเป็นเรื่องราวภายในวัด กลับถูกนำมาวางเอาไว้ภายนอก อยู่ในที่แจ้งเช่นนี้ ย่อมเป็นการดีสำหรับรัฐบาลและคสช.เพราะความจริง และคำถามหลายข้อ ที่หลายคนเคยกังขา ได้ถูกเฉลย ทั้งทางตรงและทางอ้อม การถอยทัพแต่ยังไม่มีการ ถอนกำลังออกจากที่ตั้ง อีกทั้งยังคงมาตรา 44 เอาไว้เช่นนี้ ดูจะเป็นการคุมเชิงที่สร้างความหวั่นไหว และหวาดวิตกสำหรับฝ่ายวัดพระธรรมกายอยู่ไม่น้อย ดังจะเห็นได้ว่า วันนี้พระสงฆ์ฝ่ายเสธ. ระดับ แม่ทัพของวัดพระธรรมกาย ยังคงเคลื่อนไหวระดมนัดสวดมนต์ร่วมกัน เพื่อ “รักษาพื้นที่”เอาไว้ เพราะไม่อาจวางใจได้ว่าเกมนี้ ฝ่ายรัฐบาลจะยอมจบจริง โดยไม่มีลับ ลวง พราง ก่อนขยับหมากในชั้นต่อไป ต้องจับตาติดตามกันต่อไปว่า ในวันที่ 22 เม.ย.นี้ซึ่งถือเป็นวันคล้ายวันเกิดของพระธัมมชโย จะมีการระดมศิษยานุศิษย์ จากทั่วประเทศ ให้มาปักหลักร่วมกันสวดมนต์ เหมือนเช่นเคยปฏิบัติในทุกๆที่ผ่านมาอีกหรือไม่ !