เรื่อง : สุนันท์ สมพงษ์ ภาพ: เอื้อเฟื้อโดยชัยเกษม นิติสิริ ในเวลานี้ต้องยอมรับว่าการเมืองเข้าขั้นสงบนิ่งทั้งการปฏิรูปประเทศที่อยู่ในสถานะคงที่ การร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่กำลังเดินหน้าไป โดยที่ยังไม่มีใครบอกได้ว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใด ฉะนั้นสิ่งที่เรามองเห็นในแวดวงนักการเมืองเวลานี้ คือการอยู่ในภาวะ wait and see รอด้วยความหวังและ ใช้เวลาพักเบรคการเมือง ให้เกิดประโยชน์ทั้งกาย ใจ มากที่สุด วันนี้ “รื่นรมย์คนการเมือง” ขอเคาะประตูบ้านพามาพูดคุยกับ “ชัยเกษม นิติสิริ” แกนนำพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมเปิดมุมสบายๆ ส่วนตัว ของชัยเกษม นอกเหนือไปจากเรื่องราวทางการเมือง - พักเบรคการเมือง ชัยเกษม เล่าว่า เดิมที่รับราชการก่อนที่จะเข้ามาทำงานด้านการเมือง แต่เมื่อตัดสินใจเดินบนถนนการเมือง จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ ทุกวันนี้จึงนำความรู้เกี่ยวกับกฎหมายมาเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทของกลุ่มเพื่อนๆ แต่ก็ยังได้ให้คำปรึกษาเรื่องกฎหมายกับฝ่ายการเมืองอยู่บ้างเรียกว่าไม่ได้หายหน้าหายตาไปไหน เพียงแต่จะไปเจอตนบ่อยเท่านั้น และตอนนี้ยังมีงานสอนหนังสือเกี่ยวกับกฎหมาย แต่ในปีนี้ก็ได้แจ้งไปทางสถาบันแล้วว่าขอให้การสอนปีนี้เป็นปีสุดท้าย ด้วยสาเหตุที่ว่าการเมืองทุกวันนี้เป็นเรื่องอ่อนไหว ถ้าเรายังสอนและตอบคำถามลูกศิษย์เขาก็จะมองว่าเราไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เลยจะของดการสอนหนังสือไว้เพียงเท่านี้ - ลองดูไหมเนื้อจระเข้ ? ชัยเกษม เล่าว่า เมื่อมีเวลาว่างมากขึ้น จากภารกิจทางการเมือง จึงได้ใช้โอกาสนี้หันมาดูแลสุขภาพ โดยจะเลือกวิธีง่ายๆ สามารถทำได้เอง ตามประสาผู้สูงอายุ อย่างที่บ้านจะมีเครื่องฟิสเนต เอาไว้ออกกำลังกาย นอกจากนี้ ก็จะมีบ้างที่ไปออกรอบตีกอล์ฟกับเพื่อนๆ เพราะเราถือการตีกอล์ฟเป็นการออกกำลังกายอีกอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้เล่นจริงจังถึงขั้นเป็นกีฬาสุดโปรดหรือไม่ได้ว่าจะเอาดีทางด้านนี้ พร้อมทั้งบอกอย่างอารมณ์ดีว่า “ผมเป็นคนทำอะไรได้ดีทุกอย่างยกเว้นเรื่องเล่นกอล์ฟ” ชัยเกษม บอกว่าตนเองนั้นเริ่มเล่นกอล์ฟได้ไม่นาน โดยเมื่อครั้งที่ไปเรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร(วปอ.) ซึ่งเล่นแบบไม่ได้มีครูผู้สอนมาค่อยสอนเทคนิคการเล่นเลย ดังนั้นส่วนใหญ่จึงใช้วิธีการเรียนรู้และฝึกฝนด้วยตนเอง “ การได้ออกไปตีกอล์ฟ ทำให้ผมได้เจอและสังสรรค์พูดคุยกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งเพื่อนที่ไปตีกอล์ฟด้วยกันก็จะมีทั้งที่เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว และเพื่อนที่ไปเจอในสนาม ก็ชวนๆกันเล่น นอกจากนี้ยังได้สูดอากาศที่ปลอดโปร่งสบาย แถมยังได้ออกกำลังกายอีกด้วย แม้ผมจะอายุมากแล้วก็สามารถเล่นในวันหนึ่งๆได้ 4-5 รอบเลยทีเดียว ฉะนั้นผมเลยคิดว่าจะเล่นกอล์ฟไปเรื่อยๆจนกว่าจะตีไม่ไหว” นอกจากนี้ชัยเกษม ยังเล่าว่า โดยส่วนตัวแล้ว ชอบรับประทานอาหารเมนูแปลกๆและจะรับประทานทุกอย่างจนกว่าแพทย์จะสั่งห้ามไม่ให้กิน ซึ่งล่าสุดไปพบแพทย์ก็ได้ตรวจพบว่ามียูริกในเลือดสูง คุณหมอได้สั่งให้ระวังอาหารจำพวกเป็ด ไก่ เครื่องใน ซึ่งอาหารพวกนี้มีกรดยูริกสูง จริงๆแล้วตนเองชอบกินเป็ด และไก่ โดยเฉพาะในส่วนที่มีมันติด และอีกอย่างเคยรับประทานเนื้อจระเข้ และแมลงชนิดต่างๆที่เชื่อว่าคนทั่วไปไม่ค่อยมีใครกินกัน แต่เนื้อจระเข้นั้นได้รับประทานเพราะมีจังหวะที่มีคนมาชวนให้ลองชิม ฉะนั้นเรื่องการกินจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเชื่อว่าทุกเมนูอาหารถ้าคนปรุงแต่งออกมาได้อร่อยก็สามารถกินได้ทุกเมนู แต่พอตอนนี้อายุเริ่มมากขึ้นก็จะเน้นไปที่เมนูผัก -ฝันอยากท่องเที่ยว “อิรัก-อิหร่าน” มาถึงเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ชัยเกษม ชื่นชอบ ซึ่งที่ผ่านมาก็จะเลือกเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่มีใครไปกัน ไปเกือบทุกทวีปแต่อาจจะไม่ครบทุกที่ เพราะด้วยเงื่อนไขของระยะเวลาและบุคคลที่ไปด้วย ถ้าตอนนี้มีใครมาชวนไปในสถานที่ ที่เราไม่เคยไป ถ้ามีจังหวะว่างก็จะไปด้วย ซึ่งประเทศที่อยากเดินทางไปสัมผัส ก็คงเป็นที่อิรัก อิหร่าน หรืออิสราเอล ซึ่งอาจจะไปยาก และหลายคนกลัวอันตราย ประเทศเหล่านี้ถ้าดูตามสารคดีต่างๆมีความน่าสนใจทั้งวัฒนธรรม การเป็นอยู่ ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปอเมริกาใต้ ซึ่งหลายคนบอกว่าไกล ไม่อยากไป แต่สำหรับเราแล้วได้ไปมาแล้ว 4-5 ครั้ง การไปแต่ละครั้งก็ไม่ได้ไปซ้ำสถานที่เดิม สำหรับการไปท่องเที่ยวกับครอบครัวนั้น ส่วนใหญ่ ก็จะไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ซึ่งต้องยอมรับว่าไปกันบ่อยมาก เพราะเป็นประเทศที่ไปง่ายๆ ทุกคนสะดวกเที่ยวเองได้ และรู้จักสถานที่ที่จะไป และที่สำคัญลูกๆชอบอาหารญี่ปุ่น จึงถือว่าเราไปบ่อย การได้เดินทางท่องเที่ยวก็ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ได้ทำร่วมกับครอบครัว และอีกอย่างคือการที่ได้รับประทานอาหารทั้งในและนอกบ้าน ถือเป็นกิจกรรมที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา -นักสะสมหรียญตัวง แม้จะไปต่างประเทศบ่อยแต่ก็ไม่ได้มีของสะสมเป็นสิ่งของต่างประเทศนั้นๆ แต่ชัยเกษม เลือกที่จะสะสมของในประเทศไทยเป็นหลัก และเรียกว่าการสะสมนั้นเป็นงานอดิเรกที่ทำมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เมื่อครั้งที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง เราก็ไปเดินตามสนามหลวงหาซื้อเก็บเหรียญทองแดง เหรียญสลึง และเหรียญเฟื้อง จากนั้นก็ตั้งใจเก็บเหรียญกษาปณ์ เงินโบราณ และธนบัตรที่ผลิตตามโอกาสต่างๆ นับเป็นเวลาที่เก็บกว่า 40-50 ปีได้ ต่อมาเมื่เหรียญเริ่มหายาก ราคาค่อนข้างสูง การปลอมแปลงก็เริ่มมี จึงเปลี่ยนมาเก็บเครื่องเงิน เช่น ขัน ขันโตก มีจำนวนมากพอสมควร จนภรรยาค่อยพูดให้เรายั้งใจว่าจะซื้ออะไรเพิ่มก็ให้คิดด้วยว่าถ้าซื้อมาแล้วจะเก็บไว้ที่ไหน แต่ตั้งใจว่าจะเก็บไปเรื่อยๆถ้าวันหนึ่งถามลูกว่าเขาชื่นชอบการเก็บสะสมเหมือนเราหรือไม่ ถ้าไม่ชอบคนแก่อย่างเราจะทำอะไรได้คงเอาของที่เก็บทั้งหมดไปเดินขาย ถือเป็นงานอดิเรกอีกอย่างที่คิดเอาไว้ว่าจะทำ เพราะต่อไปไม่รู้จะเป็นอย่างไรการเมืองก็ยังเงียบ หนังสือก็ไม่ได้สอนแล้ว ได้ถือโอกาสเวลาว่างๆเดินไปพูดคุยกับร้านขายเหรียญซื้อบ้างขายเขาบ้างมองว่ามันคงเป็นความสุขของเราอีกอย่างหนึ่งเลย - ท่องเอาไว้ “ช่างมันเถอะ” ในฐานะคุณพ่อแล้ว ชัยเกษม บอกว่าเขาเองเลี้ยงลูกในแบบที่ค่อนข้างให้อิสระ แม้ว่าในตอนที่ลูกยังเล็ก ๆ ก็จะมีบังคับกันบ้าง แต่เมื่อลูกๆเติบโตมาแล้วเขาอยากจะเลือกเรียนหรือทำอะไรก็ต้องแล้วแต่เขา แต่เราเพียงช่วยประคองเขาเท่านั้น “ ผมเฝ้าดูลูกๆ ตลอดมา และเห็นแล้วว่า วันนี้สิ่งที่เขาทำอยู่ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร ที่สำคัญลูกๆ ได้ทำในสิ่งที่เขาชอบก็จะมีความสุข” สำหรับมุมมองในเรื่องของการทำงาน นั้นชัยเกษม เชื่อคนเราทำงานทุกอย่างต้องมีปัญหาและอุปสรรค เหมือนชีวิตของคนเราที่มีทั้งสุขและทุกข์ตลอดเวลา บางเรื่องก็แก้ได้บางเรื่องก็แก้ไม่ได้ “ ผมพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และสิ่งนั้นต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน เวลามีปัญหาผมจะมีคำพูดเดียวว่า ช่างมันเถอะ เรื่องบางเรื่องแก้ไขไม่ได้แล้วเราก็คงต้องทำใจเท่านั้น”