คอลัมน์ รายงานพิเศษ อะไรๆ ก็ “บิ๊กเจี๊ยบ” จับตาแผน “บิ๊กตู่” รับการเมืองร้อน ในแวดวงนักการเมือง กำลังสะกิดกันเอง ให้จับตามองบทบาทของ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. คนนี้กันให้มากขึ้น หลังจากที่มีข้อมูลบางอย่าง บางชุด เกี่ยวกับ ที่มาของการเป็น ผบ.ทบ.ของ บิ๊กเจี๊ยบ เริ่มถูกพูดกันหนาหูมากขึ้น ในวงนักการเมืองและอีกหลายวงการ เพราะเหตุที่ พล.อ.เฉลิมชัย ไม่ใช่บูรพาพยัคฆ์ ไม่ใช่วงศ์เทวัญ แต่ทว่าเป็น ทหารรบพิเศษ แต่กลับได้ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ท่ามกลางหมู่บูรพาพยัคฆ์ที่ขึ้นมาเป็นแผงอำนาจ ยึดครองกองทัพ โดยเฉพาะกองทัพบก มานานกว่า 10 ปี โดยที่เป็นการตัดสินใจร่วมของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ แต่รู้กันดีว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนตัดสินใจหลัก..... ด้วยไม่ใช่แค่การ แชร์อำนาจให้ขั้วอำนาจอื่นในกองทัพ บ้าง ไม่ใช่แค่ เพราะ พล.อ.เฉลิมชัย เป็นน้องรักสายรบพิเศษของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ที่โตมาจากรบพิเศษ ไม่ใช่แค่เพราะ ถูกจัดให้เป็น สายอำนาจของ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่มี พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นลูกรัก เท่านั้น แต่ด้วยเพราะ พล.อ.เฉลิมชัย ได้เป็นคนที่ถูกเลือกแล้ว ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่อาจฝ่าฟัน จาก ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ขึ้นมาเป็น ห้าเสือทบ. มาเป็น ผช.ผบ.ทบ. ได้ เขาจึงฉลุย ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ท่ามกลางความสงสัย ว่าทำไม บิ๊กตู่ -บิ๊กป้อม ไม่เอาน้องรักในสายบูรพาพยัคฆ์ของตนเอง ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ค้ำฐานรัฐบาลคสช. ทั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ได้รู้จักสนิทสนมกับ พล.อ.เฉลิมชัย มาก่อนมากนัก เพราะโตมาจากคนละหน่วย คนละสาย แต่ได้มาทำงานด้วยกัน ตอนที่ บิ๊กตู่ เป็น ผบ.ทบ. และ บิ๊กเจี๊ยบ เป็น ผบ.นสศ. โดยเฉพาะเมื่อต้องก่อการรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 ที่ตอนนั้นมี “บิ๊กโชย” พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผช.ผบ.ทบ. เพื่อนรักตท.16 ของ พล.อ.เฉลิมชัย เป็นผู้ประสานกับ พล.อ.เฉลิมชัย แทน พล.อ.ประยุทธ์ วันนี้ พล.อ.กัมปนาท ไปทำหน้าที่ องคมนตรี หลังเกษียณราชการ เมื่อ ต.ค.2559ที่ผ่านมา แล้วก็รู้กันดีว่า “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ที่วันนี้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี เป็นคนที่เสนอชื่อ พล.อ.เฉลิมชัย เป็น ผบ.ทบ. เมื่อครั้งที่เขาเป็น ผบ.ทบ.และกำลังจะเกษียณ เมื่อ ก.ย.2559 ที่ผ่านมา การเป็น ผบ.ทบ. ย่อมหมายถึงการเป็น เลขาธิการคสช. ที่ต้องทำงานประสานใกล้ชิดกับ หัวหน้าคสช. อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ อีกด้วย ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. ก็มอบอำนาจให้ พล.อ.เฉลิมชัย ในการอนุมัติการเคลื่อนย้ายกำลัง และยุทโธปกรณ์ต่างๆทั่วประเทศ จากเดิมที่ หัวหน้าคสช.คุมเอง มาตั้งแต่การรัฐประหาร ที่น่าจับตามอง คือ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการให้แก้ไข โครงสร้างของคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ของ พล.อ.ประวิตร ใหม่ ด้วยการให้แบ่งเป็นคณะอนุกรรมการ แล้วให้ พล.อ.เฉลิมชัย เป็นประธานอนุกรรรมการร่างข้อเสนอ เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง หรือ ร่าง “สัญญาประชาคม” เพื่อให้นักการเมือง ยอมรับ เพื่อนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยเฉพาะการเลือกตั้ง และหลังการเลือกตั้ง จากเดิมที่ พล.อ.ประวิตร ตั้งให้ “บิ๊กช้าง” พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกลาโหม เป็นประธานคุมทั้งหมด แล้วตั้งอนุกรรมการเล็กๆ ที่ให้นายทหารระดับปฏิบัติงาน เป็นคนรับผิดชอบ ถึงขั้นที่ พล.อ.เฉลิมชัย ต้องออกตัวในการประชุมอนุกรรมการฯ ครั้งแรกของตนเอง ว่า เป็นงานที่ตนเองไม่ค่อยมีประสบการณ์เท่าใดถึง และหนักใจที่ต้องรับผิดชอบการร่างสัญญาปรองดองฯ นี้ แต่เมื่อเห็นบรรดานักวิชาการที่ พล.อ.ประยุทธ์ แต่งตั้งมาช่วย ก็ทำให้สบายใจขึ้น ว่ากันว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีเป้าหมาย ที่จะให้ พล.อ.เฉลิมชัย เข้ามาศึกษางานการเมืองให้มากขึ้น นอกเหนือจากที่ต้องการ ความเป็น ผบ.ทบ.และ การคุมคนและทรัพยากรจำนวนมาก มาแบ็คอัพ ให้ร่างสัญญาประชาคม นี้มีความขลัง ที่สำคัญที่สุดคือ หากนักการเมือง หรือกลุ่มการเมือง ยอมรับในร่างสัญญาประชาคม นี้แล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตามในภายหลัง นั่นหมายถึง นอกจากผิดสัญญากับประชาชนแล้ว ยังผิดสัญญากับ ผบ.ทบ. ด้วย ไม่แค่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยังออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และรับฟังความคิดเห็น เรื่องพลังงานไฟฟ้าในภาคใต้ โดยให้ พล.อ.เฉลิมชัย เป็นประธาน ร่วมกับหน่วยงานจากกระทรวง อื่นๆที่เกี่ยวข้อง และ “บิ๊ก อาร์ท” พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาค 4 และ “บิ๊กหมอ” พล.ท.คุณวุฒิ หมอแก้ว แม่ทัพน้อยที่ 4 และ “บิ๊กเล็ก” พล.ท.ณัฐพล นาคพานิชย์ รองเสธ.ทบ. ที่คาดกันว่า ในโยกย้าย ปลายปีนี้ จะขึ้นเป็น เสธ.ทบ. ร่วมเป็นคณะกรรมการ ทั้งนี้เพราะ บิ๊กเจี๊ยบ นอกจาก เป็นผบ.ทบ. และเลขาฯคสช.แล้ว ยังเป็น รองผอ.รมน. คุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ด้วย ที่เครือข่ายงานกว้างขวาง เพื่อหวังแก้ปัญหา เรื่องการสร้างโรงไฟฟ้า ในระยะยาว หลังจากที่ ได้สั่งให้ศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ นับว่าเป็นการให้ความสำคัญ และทำให้ พล.อ.เฉลิมชัย ยิ่งถูกจับตามองอย่างยิ่ง ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เคยมีความพยายามจาก ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล คสช. พยายามที่จะ แยก พล.อ.เฉลิมชัย ออกมา ด้วยการสร้างกระแสชื่นชม ในท่าทีของบิ๊กเจี๊ยบ ในหลายเรื่อง ในทางการเมือง ตั้งแต่ การที่ พล.อ.เฉลิมชัย ประกาศว่า จะไม่ทำรัฐประหาร หากพรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้ง จนมาถึงกรณี วัดพระธรรมกาย ที่ พล.อ.เฉลิมชัย ระบุว่า เจ้าหน้าที่จะต้องใช้ความรอบคอบในการทำหน้าที่ และอดทน เพราะคนเหล่านั้น ไม่ใช่ศัตรู แต่ทว่า เป็นคนไทยด้วยกันเอง รวมทั้งมีการปล่อยข่าวในโลกโซเชียลฯ และส่งข้อความต่อทางไลน์ ในทำนองที่ว่า พล.อ.เฉลิมชัย มีความคิดเห็น ไม่ตรงกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในหลายๆเรื่อง แต่กระแสนี้ ก็เงียบไป หลังจากที่ พล.อ.เฉลิมชัย มีท่าทีแข็งกร้าว ออกมา เรียกร้องให้ พระธัมมชโย ออกมามอบตัว อย่างมัวแต่เสวยสุขอยู่ในวัด แล้ว ให้ประชาชน มาเดือดร้อนแทน รวมทั้งการที่ ทหารเข้ามามีบทบาท ในการควบคุมพื้นที่ วัดพระธรรมกาย ช่วงที่มีการใช้มาตรา 44 ที่ยิ่งกว่า การทำงานร่วมกันในฐานะ หัวหน้าคสช. กับเลขาฯคสช. และ นายกรัฐมนตรี กับ ผบ.ทบ. ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.เฉลิมชัย มีความสนิทสนมกันมากขึ้น พล.อ.เฉลิมชัย มักจะเข้าไปพบ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล อยู่เสมอๆ ไม่นับรวม การโทรสายตรงคุยกัน เพราะ พล.อ.เฉลิมชัย ก็เป็นนายทหารที่ถือ โทรศัพท์มือถือ ด้วยตนเอง ไม่ได้ให้นายทหารคนสนิท (ทส.) ถือ ที่มากกว่านั้นคือ “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กเจี๊ยบ” มีอะไรที่คล้ายๆกัน เช่น การให้ความสำคัญเรื่องการออกกำลังกาย จนเป็นที่มาของ นโยบาย Smart Army ของ ทบ. และ ตามมาด้วย นโยบายการออกกำลังกายทุกวันพุธของ พล.อ.ประยุทธ์ จนกลายเป็น คู่พี่น้อง เตรียมทหาร 12 และ เตรียมทหาร 16 ที่ถูกเรียกว่า เป็น คู่บุญ กัน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนเลือก พล.อ.เฉลิมชัย ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.กับมือ แม้จะมีกระแสข่าวว่า มี ปัจจัยบางอย่าง ที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเลือก เช่นนั้น และเชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะให้ พล.อ.เฉลิมชัย นั่งเป็น ผบ.ทบ.ต่อไปอีก 1 ปี จนเกษียณในต.ค.2561 นั่นหมายถึงการให้ พล.อ.เฉลิมชัย ดูแลสถานการณ์ในช่วงเลือกตั้ง และหลังการเลือกตั้ง ที่คาดว่า อาจจะมีปัญหา หลังจากที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ และกลุ่มกปปส. ประกาศเจตนารมณ์ ต่อคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็น ปรองดอง ที่จะให้ ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง หรือปฏิรูปเสร็จก่อน แล้วค่อยเลือกตั้ง และย้ำว่า ไม่รีบที่จะให้เลือกตั้ง แม้ว่า จะมี “บิ๊กเข้” พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ผช.ผบ.ทบ. น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ของ บิ๊กตู่ เอง จ่อคิวที่จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ. อยู่ก็ตาม แต่คาดกันว่า บิ๊กตู่ จะส่ง น้องรัก คนนี้ข้ามไปเป็น ปลัดกลาโหม ในโยกย้าย ก.ย.นี้ เป็นการปลอบใจ แล้วให้ พล.อ.เฉลิมชัย เป็น ผบ.ทบ.ต่อ เพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ในปีหน้า ที่ยังไม่มีใครรู้ว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหรือไม่ เรียบร้อยหรือไม่ และหลังเลือกตั้ง จะเป็นอย่างไร ? ที่ก็โยงไปถึง ร่างสัญญาประชาคม ที่ พล.อ.เฉลิมชัย กำลังจะร่างออกมา โดยมีกำหนดให้เสร็จภายใน มิ.ย. นี้ ตามโรดแมปปรองดองของ บิ๊กป้อม ที่ต้องรอดูว่า พรรคการเมืองใดจะยอมรับหรือปฏิเสธ โดยเฉพาะกลุ่ม นปช.และ กปปส. ทั้งหมดนี้ ดูเหมือนจะยิ่งทำให้ พล.อ.เฉลิมชัย ยิ่งถูกจับจ้อง ทุกฝีก้าว เลยทีเดียว เพราะใครๆก็อยากรู้ว่า เขา จะมีตำแหน่งใด ต่อจาก การเป็น ผบ.ทบ. เขาจะเดินตามรอยเท้า พล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่ เขาจะเป็น ทายาท ของ พล.อ.ประยุทธ์ จริงหรือไม่ ?!