พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงโครงการ Thailand Street Food Festival 2020 ว่า เป็นโครงการที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่มีมูลค่ากว่าปีละ 3 ล้านล้านบาท ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยได้รับความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนทุกภาคส่วนในระดับประเทศและระดับท้องถิ่นขับเคลื่อนภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศให้ยั่งยืนสู่อนาคต ซึ่งที่ผ่านมา สตรีทฟู้ดของไทย โด่งดังไปทั่วโลก โดยได้รับการจัดอันดับจากสถาบันระดับโลกมากมาย อาทิ สำนักข่าว CNN จัดอันดับให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีอาหารริมทาง หรือ สตรีทฟู้ด ดีที่สุดในโลก เพราะมีรสชาติอร่อย หลากหลาย และมีชื่อเสียง นักท่องเที่ยวสามารถเสาะหาอาหารได้ตลอดทั้งวันทุกพื้นที่ โดยยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมาภาพรวมตลาดอาหารริมทางในประเทศไทย หรือสตรีทฟู้ดส์ มีมูลค่า 276,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2559 ถึง 4.3% และยังเติบโตต่อเนื่องอีก 4 ปีติดต่อกัน ซึ่งน่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 340,000 ล้านบาท ในปี 2564 คิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ย 5.3% ต่อปีจากการประเมินในปี 2559 มีผู้ประกอบการอิสระที่ดำเนินธุรกิจร้านอาหารริมทางประมาณ 103,000 ร้าน คิดเป็น 69% ของร้านอาหารทั้งหมด และเป็นมูลค่าราว 228,000 ล้านบาท โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 5.4% ต่อปี ด้านนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า การท่องเที่ยว เชิงอาหาร (สตรีทฟู้ด) ในประเทศไทย สร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยวของประเทศ เนื่องจากอาหารไทยได้รับการยอมรับจากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ซึ่งประเทศที่มีนักท่องเที่ยวนิยมท่องเที่ยวเชิงอาหาร หรือ สตรีทฟู้ด ในประเทศไทย 5 อันดับแรก ประกอบด้วย จีน รัสเซีย สหราชอาณาจักร มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดรณรงค์เรื่องการท่องเที่ยว เชิงอาหาร ซึ่งมีการจัดการด้านนโยบายรองรับแผนงานดังกล่าว เพื่อส่งเสริมศักยภาพของประเทศไทยในฐาะ สตรีทฟู้ด อันดับ 1 ของโลกสู่สายตาชาวโลก อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตามโยบายรัฐบาล โดยในปี 2563 ด้วยการโครงการ Thailand Street Food Festival 2020 ที่จะเริ่มกิจกรรมแรกในช่วงวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ ณ บริเวณถนนสีลม คาดว่าจะมีจำนวนผู้เข้าร่วมงานกว่า 100,000 คน น่าจะมีเงินหมุนเวียนประมาณกว่า 500 ล้านบาท ตลอด 2 วันของการจัดงาน ด้าน นายประสาน หวังรัตนปราณี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเบื้องต้นโครงการนี้จะมีทั้งสิ้น 6 ครั้ง โดยครั้งแรก จะจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 1 - 2 กุมภาพันธ์ 2563 บริเวณถนนสีลม ครั้งที่ 2 จะจัดขึ้น ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ครั้งที่ 3 คือวันที่ 3 – 6 เมษายน เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ครั้งที่ 4 ในวันที่ 25 - 26 เมษายน จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 5 จัดขึ้นในวันที่ 1 - 3 พฤษภาคม จังหวัดขอนแก่น ครั้งที่ 6 จะจัดระหว่างวันที่ 30 – 31 พฤษภาคม จังหวัดภูเก็ต โดยสถานที่ทั้ง 6 แห่งดังกล่าวนี้ถือเป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ เนื่องจากเป็นพื้นที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวภาคค่ำ และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนั้นจะเป็นการเสริมศักยภาพให้ภาพรวมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวโดยรวม ให้ได้รับการบูรณาการ และมีศักยภาพยิ่งขึ้น ขณะที่ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท.กล่าวว่า การท่องเที่ยวนั้นถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยสร้างรายได้ ที่มีมูลค่าเป็นอันดับหนึ่งของการค้าบริการรวมของประเทศ โดยคิดเป็น 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี การท่องเที่ยว ก่อให้เกิดการลงทุน การจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องประมาณ 2 ล้านคน โดย องค์การการค้าโลก ( WTO ) เผยว่าประเทศไทยสามารถทำรายได้จากการท่องเที่ยวได้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1.65 ล้านล้านบาท คว้าอันดับ 3 ของประเทศที่ทำรายได้จากการท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกประจำปี 2559 – 2560 และล่าสุดต้นปี 2019 ที่ผ่านมา รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มสู่ 3 ล้านล้านบาท ขณะที่มาสเตอร์การ์ด ได้เผยผลสำรวจเมืองสุดยอดจุดหมายปลายทางด้านอาหารและการช้อปปิ้ง กรุงเทพฯ ติดอันดับ 3 เมืองที่มีการใช้จ่ายด้านอาหารมากที่สุด และติดอันดับที่ 6 ของเมืองที่มีการใช้จ่ายด้านการช้อปปิ้งมากที่สุด