วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ขอพระราชานุญาตถวายพระพร“ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เสกสรร สิทธาคม ด้วยพระราชภารกิจนานัปการมากมายสุดจะพรรณนาที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทุกหนแห่งเพื่อทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขต่อปวงชนชาวไทยตั้งแต่เช้าจรดค่ำมาตลอด ตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์นั้นโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่9 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ปัจจุบันพระองค์เสด็จฯไปทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจด้วยพระองค์เอง เป็นที่ประจักษ์ต่อประชาชนชาวไทยในทุกวี่วัน พระราชบิดาและพระราชมารดา เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในท้องที่ต่างๆ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลเพียงใด ไม่ว่าจะทรงบุกป่าฝ่าดงทรงตรากตรำแค่ไหนก็มิทรงย่อท้อ ด้วยทรงตั้งพระราชปณิธานว่าต้องยังประโยชน์สุขสู่ราษฎรให้จงได้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีก็ดำเนินพระองค์ตามรอยพระยุคลบาท พระราชวิริยอุตสาหะมุ่งมั่นของพระองค์เรียกได้ว่าอาจถูกถ่ายทอดจากล้นเกล้าล้นกระหม่อมทั้งสองพระองค์ ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างมิได้ทรงคำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยแม้จะทรงตรากตรำพระวรกายเพียงใดก็ตามก็มิทรงย่อท้อด้วยทรงมุ่งที่จะสร้างประโยชน์สุขสู่ปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง ในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี 2 เมษายน 2560 วันอันเป็นสิริมงคลที่คนไทยถือว่าเป็นวันสำคัญยิ่งวันหนึ่งเวียนมาบรรจบอีกวาระ ด้วยพระกรุณาธิคุณอันเกิดจากพระราชหฤทัยห่วงใยที่ยิ่งใหญ่ต่อพสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่า ได้ทรงทุ่มเทพระองค์ปฏิบัติพระราชกณียกิจอย่างหนักหน่วงอย่างทรงตรากตรำมิได้ทรงคำนึงถึงความยากลำบาก และความสุขส่วนพระองค์แม้แต่น้อย ด้วยทรงมุ่งหวังที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ดำรงชีวิตอย่างพออยู่พอกินมีความสุขอย่างยั่งยืน ด้วยตั้งราชหฤทัยเพื่อทรงสืบสานพระราชปณิธานยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ปวงชนชาวไทยสนองพระมหากรุณาธิคุณพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่9และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่9และสนองพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรสืบไป สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯสยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 3 ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนราชสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ แต่ข้าราชบริพารเรียกกันทั่วไปว่า "ทูลกระหม่อมน้อย" ทรงได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศและพระอิสริยศักดิ์ขึ้นเป็น "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี" เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2520 ทรงเริ่มต้นการศึกษาระดับอนุบาล เมื่อพุทธศักราช 2501 ณ โรงเรียนจิตรลดา ในเขตพระราชฐาน พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต โดยทรงศึกษา ต่อเนื่องไปจนถึงระดับมัธยมศึกษา ตลอดระยะเวลาที่ทรงศึกษา ทรงเอาพระทัยใส่ในการเรียน โปรดการอ่าน และการศึกษาวรรณคดี ทั้งของไทยและต่างประเทศ ทรงเริ่มแต่งคำประพันธ์ต่าง ๆ ทั้งร้อยแก้ว และร้อยกรอง ตั้งแต่ยังทรงศึกษา ในชั้นประถมศึกษา ทรงโปรดการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน ทั้งด้านกีฬา ดนตรี บันเทิง และกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์ จนทรงสำเร็จการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในแผนกศิลปะ จากโรงเรียนจิตรลดา ปีพุทธศักราช 2516 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสอบเข้าศึกษาต่อ ในระดับอุดมศึกษา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้จะมีพระราชภารกิจ โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆเนืองนิตย์ แต่ก็ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ ในการเรียนอย่างยิ่ง ด้วยทรงตระหนักว่าการศึกษาเป็นความสำคัญอย่างยิ่งและยังทรงร่วม กิจกรรมของคณะ และของมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับนิสิตทั่วไป ในปีการศึกษา 2519 ทรงสำเร็จการศึกษา และทรงเข้ารับพระราชทานปริญญา อักษรศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ต่อมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสมัครเข้าศึกษาต่อ ระดับมหาบัณฑิต ณ มหาวิทยาลัยศิลปากร และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกันทั้งสองแห่ง ทรงสำเร็จการศึกษาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจารึกภาษาตะวันออก จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ในปีการศึกษา 2522 ทรงสำเร็จการศึกษา อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาบาลี - สันสกฤต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปีการศึกษา 2524 ด้วยความสนพระทัยงานด้านการพัฒนา โดยอาศัยหลักวิชาการศึกษา หรือการเรียนรู้เป็นแกน จึงทรงสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับดุษฎีบัณฑิต ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ทรงสำเร็จการศึกษา และรับพระราชทานปริญญา การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนศึกษาศาสตร์ในปีการศึกษา 2529 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ครอบคลุมงานสำคัญ ๆ อันเป็นประโยชน์หลักของบ้านเมือง เกือบทุกด้าน และทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย ให้ทรงปฏิบัติ พระราชกรณียกิจที่ทรงสืบสานต่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่9 ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ มอบหมาย โดยเฉพาะการทรงงาน ด้านการบริหารองค์การ และมูลนิธิ เพื่อสาธารณกุศล ทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา ประธานมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย รวมทั้งการเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ในการทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ในโอกาสต่าง ๆ ระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ละช่วงเวลา แต่ละปีที่ผ่านไป พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายหลายด้านด้วยความทุ่มเท ด้วยความวิริยะและอุตสาหะ ด้วยความสนพระทัย สร้างคุณประโยชน์ใหญ่หลวงแก่ชีวิตของเหล่าราษฎร ประโยชน์เกิดแก่สังคมและประเทศชาติมากมาย ทรงเป็นเจ้าฟ้าในดวงใจของพสกนิกร ทรงได้รับการยกย่องจากนานาประเทศจำนวนมาก พระราชดำริต่างๆของพระองค์ล้วนเกิดคุณประโยชน์อย่างยิ่งในด้านการพัฒนาประเทศชาติสู่ความเจริญตลอดจนก่อให้เกิดการพัฒนาคุณภพชีวิตของประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่า จะเห็นได้ว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีความสนพระทัยในด้านการศึกษาเป็นอย่างมาก ทำให้พระองค์มีพระราชดำริเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เสมอ จึงทรงนับว่าเป็นต้นแบบด้านการศึกษา ที่ดีแก่เยาวชนในประเทศ เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษาแล้ว ทรงเข้ารับราชการเป็นพระอาจารย์ประจำกองวิชากฎหมายและสังคมศาสตร์ส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของพลตรียุทธศักดิ์ คล่องตรวจโรค ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าในขณะนั้น ทรงสอนวิชาประวัติศาสตร์ไทยและสังคมวิทยา พระองค์จึงทรงเป็น "ทูลกระหม่อมอาจารย์" สำหรับนักเรียนนายร้อยตั้งแต่นั้น ต่อมา เมื่อมีการตั้งกองวิชาประวัติศาสตร์ขึ้นในปี พ.ศ. 2530 พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการกองวิชาประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันและทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นศาสตราจารย์ ส่วนการศึกษา ประจำโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2529และเป็นศาสตราจารย์ ส่วนการศึกษา ประจำโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (อัตราจอมพล) เมื่อปี พ.ศ. 2543นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงได้รับเชิญเป็นพระอาจารย์สอนในสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒนั้น พระองค์ทรงได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์พิเศษ สาขาพัฒนาศึกษาศาสตร์ด้วย ในปี พ.ศ. 2525 ทรงพระราชดำริให้ก่อตั้งโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับบุตรหลานข้าราชบริพารและประชาชนทั่วไป เปิดทำการสอนครั้งแรกในปีการศึกษา 2525 โดยทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์ประธานกรรมการคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ และทรงเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทุกครั้ง รวมถึงเสด็จพระราชดำเนินไปในงานปิดภาคเรียนของโรงเรียนทุกครั้ง เพื่อพระราชทานทุนส่งเสริมการเรียนดี และพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานจากสถานศึกษาต่าง ๆ คือ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ วิทยาลัยในวังชาย วิทยาลัยในวังหญิง โรงเรียนผู้ใหญ่พระดาบส ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก (วิทยาลัยในวัง) กาญจนาภิเษกวิทยาลัย (ช่างทองหลวง) นอกจากนี้ยังแผ่พระเมตตาไปสู่เยาวชนในประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงเช่นในปี พ.ศ. 2533 เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จฯ เยือนประเทศสาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว)ครั้งแรกระหว่างวันที่ 15-22 มีนาคม ได้มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทุนทรัพย์โดยเสด็จพระราชกุศลเป็นเงิน 12 ล้านกีบ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำเงินไปก่อสร้างเรือนนอนให้แก่โรงเรียนวัฒนธรรมเด็กกำพร้า (หลัก 67) ซึ่งอยู่ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปทางทิศเหนือประมาณ 67 กิโลเมตร พระราชทานชื่อว่า “อาคารสิรินธร” โดยมีพระราชดำริที่จะช่วยเหลือนักเรียนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในรูปแบบของโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน โดยทรงนำแนวทางที่ดำเนินการในประเทศไทยมาประยุกต์ใช้ และสนับสนุนการประกอบอาชีพเสริม พ.ศ. 2535 ทรงมีพระราชดำริพระราชทานความช่วยเหลือกัมพูชาในการก่อตั้งวิทยาลัยกำปงเฌอเตียล ณ จังหวัดกำปงธม ประเทศกัมพูชา โดยพระราชทานเงินค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารสถานที่ต่าง ๆ เสด็จฯ ไปทรงเปิดวิทยาลัยเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนแก่นักเรียนเพื่อให้มาศึกษาต่อในประเทศไทยในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตและหลักสูตรอาชีวศึกษา เพื่อนำความรู้กลับไปสอนและพัฒนาการจัดการศึกษาของวิทยาลัย รวมทั้งทรงสนับสนุนการศึกษาด้านนาฏศิลป์และดนตรี ในปี พ.ศ. 2549 พระองค์ทรงมีแนวความคิดจัดตั้งโครงการพัฒนานักอักษรศาสตร์รุ่นใหม่ขึ้น โดยความร่วมมือของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสร้างนักอักษรศาสตร์ที่มีมุมมองและแนวคิดใหม่เพื่อเป็นกำลังของชาติ ทรงสนับสนุนการช่วยเหลือ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ให้เป็นโรงเรียนผลิตนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ สร้าง"องค์ความรู้"ให้แก่ประเทศไทย จะเห็นได้ว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ทรงให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาไม่แพ้พระราชกรณียกิจด้านอื่นๆเลยและทรงมุ่งมั่นศึกษาค้นคว้าและทรงส่งเสริมสนับสนับมาอย่างต่อเนื่องตราบปัจจุบันควบคู่ไปกับการปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรไทยอย่างมิทรงคำนึงถึงความสุขส่วนพระองค์ ด้วยเพราะทรงมีพระราชปณิธานว่าความสุขประชาชนคือความสุขของพระองค์ ในวโรกาสมหามงคลวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี 2 เมษายน เวียนมาบรรจบอีกครั้ง ในนามพสกนิกรไทยทั้งประเทศขอพระราชทานพระราชานุญาตถวายพระพรชัยมงคล ขอทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ มีพระวรกายแข็งแรง ทรงสถิตย์เป็นพระมิ่งขวัญสิริมงคลแก่ประชาชน และประเทศชาติสืบไปตราบนานเท่านาน ทรงมีพระราชดำริประสงค์สิ่งใด ขอให้ทรงสมพระประสงค์จำนงหมายจงทุกประการ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม