ทรงสร้างประโยชน์สุขสู่ปวงประชา/เสกสรร สิทธาคม [email protected] สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี พระผู้ทรงสืบสานงานพัฒนา...เพื่อประโยชน์สุขพสกนิกร วันที่ 2 เมษายน ของทุกปีเป็นวันสำคัญที่คนไทยทั้งมวลมีความรู้สึกถึงความสุขความเป็นสิริมงคล เมื่อวันดังกล่าวเวียนมาอีกคราหนึ่งจึงพากันปลื้มปีติอย่างที่สุด เนื่องจากวันดังกล่าวเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธชัยพัฒนาได้ถ่ายทอดพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเผยแพร่สู่ปวงชนชาวไทยไว้ว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ไปในพื้นที่ชนบทห่างไกลและทุรกันดารทั่วประเทศ มาตั้งแต่ยังเยาว์พระชันษา ได้ทอดพระเนตรเห็นสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ทำให้ทรงทราบปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความยากจน ความขาดแคลนอาหาร การขาดบริการสาธารณสุข การศึกษาของเยาวชน และปัจจัยต่างๆที่มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตเพื่อความสสุขตามวิถีแห่งความพออยู่พอกิน จึงมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือ เด็ก เยาวชน และประชาชนที่ด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดารเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง “จึงเป็นที่มาแห่งการทรงงานอย่างหนักโดยมิได้ทรงคำนึงความเหน็ดเหนื่อยยากลำบากพระววรกาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงทุ่มพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจตั้งแต่เช้าจนจรดค่ำทุกวันเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาพสกนิกรมาแต่ยังทรงพระเยาว์จนปัจจุบัน ก็เพื่อที่จทรงพัฒนาคุณภาพชีวิตราษฎรให้ดีขึ้น หลุดพ้นจากความอดอยากยากจน ดำรงชีวิตพออยู่พอกินมีความสุขอย่างยั่งยืน สร้างแข็งแกร่งสังคมชาติบ้านเมืองในทุกมิติ นับเป็นโชคดีของคนไทยที่ได้เกิดมาภายใต้ร่มพระบารมีจริงๆ”ดร.สุเมธกล่าว ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้เล่าถึงพระปรีชาสามารถและการทรงงานที่ทรงทุ่มเทและเสียสละเพื่อพสกนิกรไทยว่า “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเริ่มงานพัฒนาในปีพุทธศักราช 2523 โดยทรงทดลองทำโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน 3 โรง เพื่อพัฒนาภาวะโภชนาการ และสุขภาพของเด็กที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร หลังจากนั้นได้ทรงขยายงานพัฒนาในด้านอื่นๆ อีก เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น พร้อมทั้งขยายพื้นที่การดำเนินงานมากขึ้นด้วย โดยโปรดเกล้าฯ ให้สำนักงานโครงการส่วนพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รับผิดชอบงานโครงการตามพระราชดำริต่างๆ” เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาเล่าต่อว่าการดำเนินงานโครงการพัฒนาตามพระราชดำริในถิ่นทุรกันดาร ทรงมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น โดยทรงมององค์ประกอบของคุณภาพชีวิตเป็น 4 ด้าน คือ ด้านสุขภาพอนามัย ด้านการศึกษา ด้านอาชีพ และด้านสิ่งแวดล้อม ในการพัฒนาจะทรงยึดหลักการอนุรักษ์วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมที่ดีงามของท้องถิ่น การส่งเสริมให้เด็กและเยาวชน ทำโครงงานการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่น ประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นในสถานศึกษา และการจัดกิจกรรมวันสำคัญทางประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น “พระองค์ทรงสนพระทัยในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ขณะที่สังคมมีแนวโน้มจะใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมอย่างไม่ระวังขาดการทนุบำรุงรักษารักษา ใช้ไปอย่างฟุ่มเฟือยเชิงทำลาย พระองค์ทรงสอนให้รู้จักเก็บน้ำ รู้จักปลูกป่า แต่ละแห่งที่เสด็จฯทรงพระราชทานอุปกรณ์ด้านกีฬา หนังสือเรียนสำหรับเด็กนักเรียน และที่มีไม่ขาดก็คือทรงพระราชทานต้นไม้ เพื่อรักษาวงจรชีวิต เพิ่มคุณภาพชีวิต และรักษาสภาพแวดล้อม ดิน น้ำ ลม ไฟ และความเป็นอยู่ อย่างครบถ้วน พระองค์ทรงคิดและทำอย่างบูรณาการ ดังคำกล่าวของผู้ที่สนองงานจากส่วนราชการต่างๆ ว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงดูแลคนตั้งแต่ครรภ์มารดาจนสู่เชิงตะกอน” ดร.สุเมธบอกอีกว่าพระราชกรณียกิจหลักที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงงานควบคู่กันอย่างต่อเนื่องก็คืองานวิชาการและงานพัฒนา โดยเฉพาะงานด้านการพัฒนา ทรงเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้โดยเสด็จพระราชดำเนินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 พระราชปณิธานมุ่งมั่นในการทรงงานพัฒนา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยให้ดีขึ้น พระองค์มีความสนพระทัยในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในงานพัฒนาและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และใฝ่พระทัยศึกษาวิชาการสาขาใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการทรงงาน ด้วยทรงเห็นว่างานพัฒนาเป็นภารกิจที่ไม่หยุดนิ่ง มีโจทย์ปัญหาใหม่ๆ มาท้าทายนักพัฒนา เนื่องจากสิ่งแวดล้อมทางสังคมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้นักพัฒนาจะต้องรู้จักค้นคว้าหาความรู้ และพัฒนาตนเองอยู่เสมอเช่นเดียวกัน และต้องพิจารณาทบทวนการทำงานเพื่อหาแนวทางเทคนิควิธีใหม่ๆ ที่จะนำมาใช้ปรับปรุงวิธีการดำเนินงานพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น “ทรงมีแนวคิดใหม่ๆ วิสัยทัศน์ใหม่ๆ นำไปสู่อนาคตใหม่ๆ พระองค์ทรงทันโลก ทรงมีความถนัดในเรื่องไอที พระองค์ทรงเป็นบุคคลแรกๆ ที่สนใจในเรื่องของ GPRS เพื่อให้รู้จุดต่างๆ เนื่องจากในแต่ละวันพระองค์ต้องทรงงานหลายแห่ง ในการเรียนรู้เส้นทางทรงปราถนาจะเรียนรู้ทุกอย่างในการทรงงานแต่ละครั้ง ไม่ทรงบ่นว่าเหนื่อย แม้ทรงรับการผ่าตัดใหม่ๆ ทุกคนต่างเห็นกันหมดว่า พระองค์ทรงงานมากไม่มีเวลาพักผ่อน แต่ก็ไม่ทรงปริพระโอฐ แม้นแดดจะร้อน ฝนจะตก ขึ้นเขาลงห้วย บางครั้งต้องเดินเป็นกิโลๆ ก็ทรงไม่ย่อท้อทรงทำต่อไป สิ่งที่ทุกคนต่างได้เห็นมาโดยตลอดคือ พระองค์ท่านทรงเสียสละมากทีเดียว”เลขาธิการมูลนิธิในฐานะข้าราชบริพารรับใช้เบื้องพระยุคลบาทบอกอย่างมีความสุข ในฐานะข้าราชบริพารที่รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทดร.สุเมธถ่ายทอดพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสู่ประชาชนต่อไปว่าปรัชญาการทรงงานของพระองค์สะท้อนให้เห็นได้จากการที่มิได้ทรงจำกัดขอบเขตการพัฒนาอยู่เฉพาะการพัฒนาชุมชนชนบทที่มีปัญหาความอดอยากยากจนเป็นที่ประจักษ์ชัด หากแต่ยังครอบคลุมถึงการพัฒนาสังคมเมืองที่มีปัญหาซับซ้อน ละเอียดอ่อนและแตกต่างกันออกไป อาทิ การพัฒนาการศึกษาและคุณภาพชีวิตสำหรับผู้พิการ ผู้ต้องขังในทัณฑสถาน และสามเณรในโรงเรียนพระปริยัติธรรม การพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในโรงเรียน การพัฒนาห้องสมุดและการศึกษานอกโรงเรียน เป็นต้น “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาเป็นเวลานาน ด้วยพระเมตตาซึ่งไม่จำกัดเฉพาะประชาชนชาวไทยเท่านั้น ทว่าพระมหากรุณาธิคุณได้พระราชทานความร่วมมือแก่ประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา สหภาพพม่า และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รวมทั้งกลุ่มประเทศเอเชีย ในการพระราชทานความร่วมมือระดับนานาชาตินี้พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในประเทศเหล่านั้นให้มีสุขภาพดี มีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ปัจจุบันมีโครงการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการ อาทิ โครงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับเจ้าแขวงจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าในการพัฒนาเด็ก โครงการความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในกลุ่มประเทศเอเชียและแปซิฟิก (สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม, ราชอาณาจักรกัมพูชา) โครงการความสัมพันธ์ไทย-จีน เป็นต้น” ดร.สุเมธกล่าวเน้นว่าปัจจุบันประชาชนชาวไทยจึงเห็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยรมบรมราชกุมารีทรงงานอย่างหนัก เสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกภูมิภาค เพื่อทรงติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการอย่างมิทรงหยุดหย่อน การทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรของพระองค์สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นพระราชหฤทัย ในการทรงดำเนินงานสานต่อพระราชดำริการพัฒนาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถได้ทรงปฏิบัติมาก่อน เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาเล่าทิ้งท้ายโดยอัญเชิญพระราชดำรัสที่ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อพุทธศักราช 2528 ความตอนหนึ่งว่า "...เหตุที่ชอบการพัฒนาช่วยเหลือประชาชนนั้น เห็นจะเป็นเพราะความเคยชิน ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ก็เห็นทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงคิดหาวิธีต่างๆ ที่จะยกฐานะความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้น ได้ตามเสด็จเห็นความทุกข์ยากลำบากของพี่น้องเพื่อนร่วมชาติก็คิดว่าช่วยอะไรได้ควรช่วย ไม่ควรนิ่งดูดาย เมื่อโตขึ้นพอมีแรงทำอะไรได้ก็ทำไปอย่างอัตโนมัติ โดยทำตามพระราชกระแส หรือทำตามแนวพระราชดำริ การช่วยเหลือประชาชนเป็นหน้าที่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องทำประจำอยู่แล้ว..." ขอถวายพระพระให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน -----------------------------