สำหรับ เมืองไทย ถือเป็นประเทศที่ 5 ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่โอโย โฮเทลส์ แอนด์ โฮมส์ เชนโรงแรมที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เลือกเข้ามาขยายธุรกิจ หลังจากประสบความสำเร็จในการขึ้นเป็นผู้นำตลาดธุรกิจโรงแรมในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งเวลานี้มียอดผู้เข้าพักในไทยกว่า 1 ล้านคนภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่เปิดให้บริการ ก้าวขึ้นเป็นเชนโรงแรมอันดับ 1 ในประเทศไทย ซึ่งในเรื่องนี้ นาย อชูโตช สิงห์ ผู้อำนวยการบริหารประจำประเทศไทยโอโย ได้สะท้อนแผนการตลาดได้อย่างน่าสนใจ ปรับรูปแบบให้เข้ากับเมืองไทย โดย นาย อชูโตช สิงห์ ผู้อำนวยการบริหารประจำประเทศไทยโอโย โฮเทลส์ แอนด์ โฮมส์ กล่าวว่า เวลานี้โอโยได้ต้อนรับผู้เข้าพักในประเทศไทย ที่จองผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชันโอโยมากกว่า 1 ล้านคน ในระยะเวลาน้อยกว่า 3 เดือน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งไมล์สโตนที่สำคัญ นับตั้งแต่เริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมา ด้วยการนำเอาดีไซน์ หลักการให้บริการ ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและด้านการเงิน รวมถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจ มาปรับใช้ให้เข้ากับอุตสาหกรรมการบริการในประเทศไทย จนทำให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกับโอโยมีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถบริหารที่พักภายใต้แบรนด์โอโย ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจุบัน โอโย มีโรงแรมในเครือมากกว่า 500 แห่ง และห้องพักกว่า 15,000 ห้อง ใน 25 เมืองในประเทศไทย โดยที่พักในเครือโอโยทุกแห่ง จะมีเครื่องปรับอากาศ ฟรีไวไฟ โทรทัศน์ รวมถึงบริการผ้าขนหนูและผ้าปูที่นอนที่สะอาด ให้แก่ผู้เข้าพักทุกคน ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มให้บริการในประเทศไทย การมุ่งมั่นที่จะอำนวยความสะดวกในการจองที่พักให้กับผู้คน โดยการอัพเกรดที่พักในโลเคชั่นที่ดีทั่วประเทศ ซึ่งไม่ได้มีการทำการตลาด ให้กลายเป็นที่พักที่มีคุณภาพ ราคาเป็นกันเอง จนสามารถกระจายการรับรู้ไปสู่กลุ่มนักท่องเที่ยวอย่างกว้างขวาง เพิ่มตัวเลือกให้แก่นักเดินทาง ทั้งนี้ นาย อชูโตช กล่าวว่า หลังจากการต้อนรับผู้เข้าพักกว่า 1,000,000 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา ด้วยการมีห้องพักมากกว่า 15,000 ห้อง ที่พร้อมให้บริการในโรงแรมกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ ในระยะเวลาเพียง 3 เดือน เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ที่โอโยสร้างขึ้นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มตัวเลือกให้แก่นักเดินทาง และสร้างรายได้ให้แก่พันธมิตรทางการค้าด้วย ซึ่ง นายอชูโตช กล่าวต่อว่า ทางโอโยได้ตั้งเป้าขยายธุรกิจในประเทศไทย เนื่องจากเล็งเห็นถึงการที่ไทยมีแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ มีเที่ยวบินขาเข้าที่เพิ่มขึ้น และการยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจากประเทศอินเดีย น่าจะส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงการที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่ไปเที่ยวต่างประเทศเป็นครั้งแรก ด้วยระยะทางที่สั้น และการเดินทางในประเทศที่ง่าย โดยมีการให้บริการเที่ยวบินตรงกว่า 3,000 เที่ยว ระหว่างเมืองหลักและเมืองรอง รวมถึงภูเก็ต จากหลายสายการบิน น่าจะทำให้โอโยอยู่ในความสนใจของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ทาง โอโย ได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในการขยายการให้บริการของที่พัก เพื่อตอกย้ำสถานะของประเทศไทย ในฐานะที่เป็นจุดหมายแห่งการท่องเที่ยวชั้นนำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการต้อนรับนักท่องเที่ยว 40.8 ล้านคน ช่วงเดือนธันวาคม 2563ที่ททท.ตั้งไว้ โดยทางโอโย พร้อมรองรับด้วยที่พักที่มีอยู่กว่า 500 แห่ง ใน 25 เมืองของไทย ซึ่งพร้อมมอบประสบการณ์การพักที่มีเอกลักษณ์ และความคุ้มค่าในการเข้าพัก อย่างไรก็ตาม นาย อชูโตช กล่าวต่อว่า ทางโอโยได้ปฏิวัติเครือข่ายธุรกิจห้องพักราคาประหยัดในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารรายได้ การดำเนินการจัดการ และการใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยมาช่วยต่อยอด ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อิสระขนาดเล็ก สามารถแข่งขันกับเครือโรงแรมขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนถึงปัจจุบันโอโยมีที่พักอยู่มากกว่า 800 เมือง ใน 80 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงโรงแรมมากกว่า 2,500 แห่งที่อยู่ในแฟรนไชส์และที่เปิดให้เช่าในกว่า 250 เมืองทั่วประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย