ช่วงวันหยุดยาวๆ สุดสัปดาห์นี้ ท่องเที่ยวสยามรัฐ มีทริปดีๆ ซึ่ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้พาไปชมความสวยงามของจังหวัดระนอง-ชุมพร กับท้องทะเลใต้ที่อุทยานแห่งชาติแหลมสน ต่อด้วยการล่องเรือไปชมเกาะต่างๆ และสักการะสิ่งศักดิ์คู่บ้านคู่เมือง เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนจะเติมเต็มพลังชีวิตที่แดนโดมโฮมสเตย์ ที่พักของชาวบ้านราคาหลักร้อย แต่ได้สัมผัสความสุขมาอย่างเต็มเปี่ยม ล่องเรือเที่ยวหมู่เกาะระนอง เริ่มต้นเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดระนอง ด้วยพาหนะรถตู้แบบชิล ชิล กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางก็พลบค่ำ จึงยกยอดการเที่ยวเตร่ไปวันรุ่งขึ้น ซึ่งเช้าวันใหม่ทุกคนพร้อมกันที่จุดนัดพบ เพื่อออกเดินทางไปที่ อุทยานแห่งชาติแหลมสน ทางด้านฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัดระนอง ที่ร่มรื่นไปด้วยป่าสนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นที่อยู่ของนกนานาชนิด อีกทั้งยังมีหาดทรายขาวละเอียดเป็นแนวยาวและกว้างใหญ่ มีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก นับเป็นอุทยานแห่งชาติชายฝั่งทะเลของไทย ที่มีชายฝั่งทะเลยาวที่สุดแห่งหนึ่ง ที่สำคัญ อุทยานแห่งชาติแหลมสน ประกอบด้วยพื้นที่ชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 60 กิโลเมตร และหมู่เกาะ 2 หมู่เกาะ ได้แก่ หมู่เกาะกำใหญ่ และหมู่เกาะกำนุ้ย รวมทั้งเกาะต่างๆ อีก 8 เกาะ ได้แก่ เกาะหมู เกาะเปียกน้ำน้อย เกาะเปียกน้ำใหญ่ เกาะเทา เกาะค้างคาวเกาะล้านเกาะกำหนุ่ย และเกาะไข่ใหญ่ ซึ่งเป็นจุดหมายที่ทุกคนจะต้องนั่งเรือไปชมเกาะต่างๆ ในวันนี้ เกาะญี่ปุ่น โดยเกาะแรกที่แวะชมความสวยงามคือ เกาะญี่ปุ่น ใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆ เพียงเท้าแตะพื้นทรายก็จะเห็นนักท่องเที่ยวทะยอยมาเที่ยวชมความสวยงามของเกาะ โดยเกาะญี่ปุ่น เป็นเกาะที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาหมู่เกาะกำ ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเกาะกำใหญ่ ทางทิศตะวันออกและ ทิศตะวันตก ของเกาะกำนุ้ย รูปร่างของเกาะเป็นภูเขาเล็กๆโดยมีแนวชายหาดอยู่ทางด้านหน้าของเกาะ ทางทิศ ตะวันออก เกาะญี่ปุ่นถึงแม้จะเป็นเกาะเล็กๆแต่มี ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ชายหาดของเกาะญี่ปุ่นมีทรายที่ขาวละเอียด นุ่มเท้า นอกจากนี้ยังมีน้ำทะเลที่ใสสะอาดจนมองเห็นพื้นทราย สามารถเดินเที่ยวตามชายหาดได้รอบจนถึงด้านเหนือของเกาะที่อยู่ใกล้ กับเกาะเล็กๆอีกเกาะหนึ่ง นอกจากนี้รอบเกาะยังพอมีแนวปะการังดำน้ำ ชมได้แต่มีจำนวนไม่มาก เกาะกำตก เมื่อชมความสวยงามของเกาะญี่ปุ่นเสร็จ ก็ล่องเรือไปยังเกาะต่อไป คือ เกาะกำตก และ อ่าวเขาควาย ซึ่งมีอาณาเขตติดกัน สำหรับเกาะกำตก หรือเกาะอ่าวเขาควาย เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยาน ซึ่งเป็นหน่วยย่อย ที่ดูแล รักษาและอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว ด้านหลังเกาะด้านตะวันตกเป็น ชายหาดที่โค้งมาติดกันเป็นรูปวงกลมตามแนว เหนือ-ใต้ ด้วยธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์นี้เอง ชาวเรือจึงเรียกเกาะนี้ว่า อ่าวเขาควาย ตามแนวชายหาดมีต้นหูกวาง และต้นจิกทะเลคอย ให้ร่มเงา บนหาดมีปูเสฉวนอาศัยอยู่จำนวนมาก ในตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงของปูเสฉวนที่ออกมาหากิน จุดชมวิวอ่าวเขาควาย ก่อนที่จะเดินขึ้นเขาไปชมวิวสวยงามของท้องทะเลบน จุดชมวิวอ่าวเขาควาย ก็ถึงเวลาพักเพิ่มพลังด้วยเมนูมื้อเที่ยง ซึ่งบริเวณเกาะนี้จะเป็นจุดให้นักท่องเที่ยวแวะทานข้าว เพราะมีร่มไม้ และโต๊ะไว้นั่งทานข้าวได้อย่างสะดวกสบาย หลังจากอิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า ก็ลุยกันต่อด้วยการขึ้นเขาเพื่อไปชมวิวที่จุดชมวิวอ่าวเขาควาย โดยทางขึ้นค่อนข้างลาดชัน ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา และเมื่อขึ้นไปถึงจุดชมวิว บอกได้คำเดียวกว่า คุ้มค่ากับการปีนขึ้นมา เพราะภาพแนวชายหาดที่โค้งสวยอยู่ตรงหน้านั้น ทำให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยไปหมดสิ้น ส่วนเกาะสุดท้ายของวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง ท่ามกลางน้ำทะเลที่สวย ใส สะอาด เกาะนี้มีชื่อว่า เกาะค้างคาว เป็นเกาะใกล้ชายหาดบางเบนมากที่สุด ห่างจากที่ ทำการอุทยานแห่งชาติแหลมสนประมาณ 9 กิโลเมตร มีหาดทรายขาวละเอียด รอบเกาะสามารถดำน้ำชมปะการัง ได้ทั้งแบบน้ำตื้นและน้ำลึก อีกทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของค้างคาว แม่ไก่นับพันตัว ถือเป็นเกาะที่สวยงามที่สุดในการเที่ยวหมู่เกาะกำ ก่อนจะเดินทางกลับที่พักเก็บพลังไว้เดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น ไหว้พระล่องแพลำน้ำกระบุรี เช้าวันใหม่ทุกคนไม่รอช้าที่จะออกเดินทางไปชื่นชมความสวยงามในสถานที่ต่างๆ โดยสถานที่แรกของวัน คือวัดสุวรรณคีรี(วัดปากจั่น) อยู่ระหว่างการก่อสร้างพุทธสุวรรณเจดีย์หรือเจดีย์ชเวดากอง ที่จำลองแบบมาจาก มหาเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพุทธสถานอันเลื่องชื่อระดับโลก มีฐานกว้าง 29 เมตร สูง 108 ฟุต ออกแบบก่อสร้างโดย หลวงพี่ปัญญา ปัญญาธโร พระชาวพม่าที่มาจำพรรษาและร่ำเรียนอยู่ที่วัดดังกล่าว นอกจากนี้บริเวณข้างๆ องค์เจดีย์ยังมีศาลาบูชาองค์เทพกระซิบและเทพทันใจ โดยเทพทั้งสองล้วนต่างขึ้นชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวได้สักการะบูชา วัดสุวรรณคีรี(วัดปากจั่น)  หลังจากขอพรจากเทพทันใจเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนออกเดินทางต่อไปยังแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของอำเภอกระบุรี กับกิจกรรมล่องแพลำน้ำกระบุรี ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่ถึง 6 เดือน ซึ่งกิจกรรมนี้เกิดจากการที่ชาวชุมชนบ้านปากจั่นได้เล็งเห็นในศักยภาพของดีชุมชน ที่มีพื้นที่สวยงาม มีแม่น้ำกระบุรีไหลเลาะเลียบแนวตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมาร์อยู่ตลอดทั้งปี จึงได้ริเริ่มจัดกิจกรรมล่องแพขึ้นมา โดยประสานงานเรื่องความปลอดภัยกับท้องถิ่น และมีเจ้าหน้าตำรวจชายแดนในพื้นที่มาคอยดูแลด้านความปลอดภัยอีกทางหนึ่งด้วย สำหรับการล่องแพที่นี่นั่งได้ประมาณ 6 คนโดยแพถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี มีโต๊ะตรงกางแพเพื่อวางสิ่งของไม่ให้เปียกน้ำ อีกทั้งยังมีหลังคา เพื่อกันแดด เหมาะแก่การล่องแพไปตามลำน้ำแบบ ชิล ชิล ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร และเมื่อล่องแพไปได้สักพักหนึ่งจะมีจุดให้พักทานอาหารที่เตรียมไว้ให้ ซึ่งจุดพักดังกล่าว นักท่องเที่ยวสามารถกระโดดเล่นน้ำได้อย่าสนุกสนาน จนมาถึงจุดสิ้นสุดเลียบเส้นแบ่งพรมแดนกระบุรี สนนราคาค่าบริการ 350 บาท/คน รวมอาหาร น้ำดื่ม และรถรับส่งเรียบร้อย เปิดให้บริการ 2 รอบ ตั้งแต่เวลา 10.00-12.30 และ 14.00-16.00 น. สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการท่องเที่ยว คือช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน กิจกรรมล่องแพลำน้ำกระบุรี เมื่อเที่ยวน้ำจืดเสร็จก็ต่อกันด้วยน้ำเค็มแบบไม่พักกันเลยทีเดียว เพราะจุดหมายต่อไปเป็น อ่าวทุ่งซาง เป็นหาดทรายชายทะเลทางตอนเหนือของจังหวัดชุมพร มีลักษณะเป็นหาดโค้ง เม็ดทรายขาวละเอียดสะอาด น้ำใสมาก เนื่องจากไม่มีตะกอนดินจากปากแม่น้ำเข้ามาปน มีเปลือกหอยและแนวหินปะการังจำนวนมากมีความยาวประมาณ 1.3กิโลเมตร มีหน้าผาสูงใหญ่ขนาบด้านขวามือ มีแหลมยื่นออกทั้ง 2 ด้านช่วยเสริมทัศนียภาพให้สวยงามมากขึ้น เหมาะการพักผ่อนหย่อนใจ และ การเล่นน้ำใสๆได้อย่างสนุกสนาน ยังไม่มีสิ่งก่อสร้างตามชายฝั่ง ไม่มีโรงแรมร้านอาหาร หรือแหล่งบันเทิงใดๆ ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวอ่าวทุ่งซางจึงต้องเตรียมอาหารไปทานเอง ชมวิวเขามัทรีดื่มด่ำทะเลชุมพร เช้าวันสุดท้ายของทริปออกเดินทางไปสักการะ ศาลเสด็จกรมหลวงชุมพร โดยศาลกรมหลวงชุมพร ฯ บริเวณหาดทรายรี เป็นสถานที่ที่ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวเดินทางมาสักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างไม่ขาดสาย ก่อนจะเดินทางต่อไปยัง จุดชมวิวเขามัทรี บนเส้นทาง ชุมพร - ปากน้ำ - หาดทราย ซึ่งสามารถมองเห็นชุมชนปากน้ำชุมพรและชายหาดของทะเลชุมพรได้แบบ 360 องศา โดยเฉพาะในยามเย็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินจะงดงามเป็นอย่างมาก จุดชมวิวเขามัทรี อีกทั้งบนจุด ชมวิวเขามัทรี ยังมีพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปางมหาราชลีลา ลักษณะคล้ายกับท่านั่งขององค์จตุคามรามเทพมองออก ไปที่ชายทะเลชุมพรด้านขวาเป็นหาดภราดรภาพ ก่อนจะเดินทางไปยังที่พักสุดท้ายของทริป ณ แดนโดมโฮมสเตย์ อาชีพเสริมจากการทำประมงเป็นหลัก รองรับนักท่องเที่ยวได้กลุ่มใหญ่ถึง 20 คน ถึงแม้ว่าหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้จะตั้งอยู่ในสถานที่การเดินทางโดยรถไม่ค่อยสะดวก แต่สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อย่างไฟฟ้ามีให้ใช้ได้อย่างทั่วถึง ราคาค่าบริการคน 600 บาท ค้างหนึ่งคืนและอาหาร 3 มื้อ โดยบ้านที่จัดทำเป็นโฮมสเตย์ เป็นที่อยู่อาศัยของชาวประมงขนานแท้ไม่ได้มีการดัดแปลงอะไรให้แตกต่างจากเดิมมากนัก นอกจากการสร้างห้องน้ำเพิ่มเพื่อให้พอใช้สำหรับนักท่องเที่ยวแต่ก็ยังเป็นห้องน้ำแบบง่ายๆ ส่วนตัวบ้านเป็นโถงใหญ่ไม่ได้กั้นเป็นห้องเล็กๆ แต่อย่างใด นอกชายคามีระเบียงต่อออกไปอีกเล็กน้อย เป็นสถานที่ที่ไว้นั่งรับลมชมวิว ซึ่งกิจกรรมหลักๆ ของการเข้าพักที่นี่ คือการพาล่องเรือชมความสวยงามของท้องทะเล ก่อนจะไปดำน้ำดูปะการังที่ เกาะกุลา ซึ่งตลอดการล่องเรือ เจ้าของโฮมสเตย์ได้ทำหน้าที่เป็นไกด์คอยเล่าถึงประวัติความเป็นมาของสิ่งต่างๆที่พบเจอ ตลอดระยะทาง ทั้งยังคอยเล่นมุกให้มีเสียงหัวเราะตลอดเวลา จนถึงเกาะกุลา จะเห็นนักท่องเที่ยวมากมายกำลังดำน้ำดูปะกาลัง และพายเรือเล่นกันอย่างสนุกสนาน เพราะเกาะดังกล่าว เป็นหนึ่งในหลายๆ เกาะที่มีความสวยงามของทะเลชุมพรที่หลายๆ คนรู้จักเป็นอย่างดี แดนโดมโฮมสเตย์ ทั้งนี้ เกาะกุลา ถูกจัดให้เป็นเกาะที่เหมาะแก่การดำน้ำและพักผ่อนอันดับต้นๆ ทั้งยังอยู่ห่างจากหมู่บ้านที่อ่าวครามไม่ถึงครึ่งชั่วโมง น้ำใสจนสามารถมองเห็นปะการังที่อยู่ในน้ำได้เลยทีเดียว หลังจากดื่มด่ำกับภาพของสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลอย่างเต็มอิ่ม ก็ถึงเวลากลับที่พักทานอาหารทะเลสดๆ และพักผ่อนอย่างมีความสุข ด้วยบรรยากาศท้องทะเลใต้ที่สวยงามสุดบรรยาย ในเส้นทางจังหวัดระนอง-ชุมพร จึงทำให้ทริปดีๆ ที่ผ่านมาอยู่ในความทรงจำของทุกๆ คนที่มีโอกาสไปสัมผัส แต่สำหรับผู้ที่สนใจเส้นทางดังกล่าวสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานชุมพร โทร. 077 -502- 775 หรือ แลกเปลี่ยนข้อมูลการท่องเที่ยวได้ที่โทร.0-2622-1810-19 ต่อ 353-354 และ www.facebook.com/siamrath.travel โต๊ะท่องเที่ยว เรื่อง/ภาพ [email protected]