จากกรณีที่กำลังตำรวจ บก.ป.ร่วมกับตำรวจภูธร จ.ระนอง เข้าจับกุม น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือ น.ส.ศรัณย์พัชร์ กิติขจรพัชร์ หรือ “ซินแสโชกุน” กรรมการบริหาร บริษัทเวลล์ เอฟเวอร์ จำกัด ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 939/2560 ลงวันที่ 12เมษายน 2560 ข้อหาฉ้อโกงประชาชน หลังจากร่วมกับพวกอีก 9 คน ซึ่งเป็นญาติของซินแสโชกุน และถูกควบคุมตัวไว้แล้วเช่นเดียวกัน หลอกลวงผู้เสียหายกว่า 1,000 คน โดยอ้างว่าได้จัดทริปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ด้วยการเช่าเหมาลำเครื่องบินสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิก นัดหมายกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แต่ภายหลังกลับปล่อยลอยแพไม่มีการเดินทางแต่อย่างใด ซึ่งผู้เสียหายทั้งหมดเป็นสมาชิกของบริษัทดังกล่าว ที่มีแผนการตลาดโฆษณารับสมัครสมาชิกด้วยเงินลงทุนรายละ 9,730 บาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น ความคืบหน้าเมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 18 เมษายน ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมายหน่วยเฉพาะกิจการข่าว คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ เสนาธิการผู้บังคับบัญชาฝ่ายกฎหมาย คสช. พร้อมกำลังทหารจากมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ควบคุมตัว นางมณฑญาณ์ นิรันดร อายุ 55 ปี มารดาของซินแสโชกุน , นายก้องศรัณย์ แสงประภา อายุ 22 ปี , น.ส.ทัศย์ดาว สมัครกสิกรรณ์ อายุ 35 ปี แฟนสาวของซินแสโชกุน , นางประนอม พลานุสนธิ์ อายุ 40 ปี เลขานุการส่วนตัวของซินแสโชกุน , นางณิชมน แสงประภา อายุ 64 ปี , นางพารินธญ์ หงษ์หิรัญ ดัคกอร์ อายุ 35 ปี , น.ศ.สุดารัตน์ เอนกนวล อายุ 25 ปี และ นายโกวิท ช่วยสัตว์ อายุ 30 ปี รวม 8 ราย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 951-958/2560 ลงวันที่ 17 เมษายน 2560 ตามลำดับ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และกระทำการอันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 และ 343 ประกอบมาตรา 83 ส่งมอบให้พนักงานสอบสวน บก.ป. ต่อมาเวลา 12.00 น. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.ส.4 พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป. พล.ต.ต.ประเสริฐ พัฒนาดี ผบก.ปคบ.และคณะพนักงานสอบสวน พร้อมด้วย แพทย์จาก รพ.ตำรวจ รอรับตัวผู้ต้องหา ก่อนคุมตัวทั้งหมดไปยังห้องประชุมชิวปรีชา เพื่อตรวจร่างกาย รวมทั้งตรวจสอบทรัพย์สินส่วนตัวต่างๆ ก่อนจะเริ่มขั้นตอนการสอบสวนดำเนินคดีต่อไป พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า หลังจากทางพนักงานสอบสวนได้รับตัวผู้ต้องหาจากฝ่ายทหารมาแล้ว ซึ่งจากการตรวจร่างกายแพทย์ยืนยันว่าไม่มีร่อยรอยถูกทำร้าย และผู้ต้องหาก็ยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่ในค่ายไม่มีการทำร้ายร่างกาย โดยจะดำเนินการตามขั้นตอนการสอบสวน ซึ่งทางผู้ต้องหาทั้งหมดจะให้การอย่างไรก็เป็นสิทธิ และมีการจัดทนายความจากสภาทนายความให้ผู้ต้องหา อย่างไรก็ดี ตนคงยังไม่ขอซักถามผู้ต้องหาในขณะนี้ว่าจะให้การรับสารภาพตามข้อกล่าวหาหรือไม่ โดยจะปล่อยให้พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการหลังจากนี้ ก่อนนำส่งศาลฝากขังตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ สำหรับคดีดังกล่าวมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์แล้ว 360 คน รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 15 ล้านบาท ขณะที่เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมกับตำรวจ ทหาร สามารถติดตามยึดทรัพย์สินต่างๆ จากกลุ่มผู้ต้องหาในเบื้องต้น อาทิ รถยนต์ เงินในบัญชีธนาคาร ทองรูปพรรณ คอนโดมิเนียม ฯลฯ รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท ส่วนการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา นางมณฑญาณ์ กล่าวว่า ตนขอปฏิเสธข้อกล่าวหา และตนไม่ได้เชิญชวนใคร ถ้าไปดูในเฟซบุ๊กส่วนตัวจะเห็นว่าตนอยากจะช่วยเหลือคนที่ฐานะยากไร้ ประสบความเดือดร้อน ถ้าคุณเข้ามาเป็นสมาชิกของบริษัท เวลล์ เอฟเวอร์ จำกัด แล้ว ก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดี เพียงแต่ว่าคุณต้องเป็นคนที่ตั้งใจทำงาน และเป็นคนดี ไม่ใช้อำนาจทำให้ใครเดือดร้อน ส่วนกรณีที่มีการชักชวนให้ผู้เสียหายสมัครเป็นสมาชิกบริษัทนั้น ตนไม่เกี่ยวข้อง เพราะไม่ได้มีหน้าที่ตรงนี้ ตนเป็นแค่มารดาของซินแสโชกุนเท่านั้น และขอยืนยันว่าบริษัท เวลล์ เอฟเวอร์ จำกัด ไม่ได้ขายทัวร์ สำหรับการนำไปเที่ยวนั้น เพียงแค่ต้องการให้โอกาสกับคนที่ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลย เพราะยากจน นางมณฑญาณ์ กล่าวอีกว่า กรณีที่มีภาพตนปรากฏอยู่บนเครื่องบินเช่าเหมาลำ นั้น เป็นเพราะบุตรสาวอ้างว่าทำธุรกิจรับส่งนักธุรกิจโดยมีเครื่องบินเช่าเหมาลำทั้งหมด 8 ลำ เส้นทางระหว่างมาเก๊า-ฮ่องกง โดยไม่รู้ว่าบุตรสาวเป็นเจ้าของเอง หรือเป็นเพียงแค่หุ้นส่วนเท่านั้น ส่วนคนที่ตนเคยเชิญชวนให้ร่วมเดินทางท่องเที่ยว มีอยู่ 2 คน คือ อุ๊-มิณทร์ลดา เจริญทวีรัตน์ ดาราและพิธีกร อดีตรองมีสทีนไทยแลนด์ 2010 และอีกคนซึ่งตนจำชื่อไม่ได้ เขาไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายจำนวน 9,730 บาท คนหนึ่งมีเพียง 5,000 บาท อีกคนมีเพียง 1,000 บาท และตนจึงออกเงินให้ก่อน เพราะแค่ต้องการช่วยเท่านั้น อย่างไรก็ตามสำหรับนักธุรกิจชาวฮ่องกงนั้น ตนก็ได้ข้อมูลมาจากบุตรสาว ว่าจะเป็นผู้ดูแล จองเครื่องบิน และดำเนินการต่างๆให้ ซึ่งตนก็ไม่เคยเจอตัวจริง และไม่เคยได้พูดคุย เคยเห็นแต่ในรูปถ่ายเท่านั้น ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจต่างๆนั้น ตนไม่ทราบเรื่องและไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ยังเชื่อว่าลูกของตนไม่เคยหลอกลวงใครแน่นอน ขณะที่ นางประนอม เลขาซินแสโชกุน กล่าวว่า ไม่เคยเชิญชวนใครให้ไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น แต่มีเพียงให้มาสมัครเป็นสมาชิกของบริษัท อลิเชี่ยน จำกัด เท่านั้น ส่วนโปรโมชั่นต่างๆนั้น ทางซินแสโชกุน เป็นคนที่กำหนดออกมา ตนไม่ทราบว่าส่วนต่างของเงินค่าสมัครสมาชิกนั้นไม่เพียงพอต่อการพาสมาชิกไปเที่ยวต่างประเทศได้ ที่ผ่านมา ตนเคยถามซินแสโชกุนว่าได้เงินส่วนต่างมาจากไหน ซึ่งซินแสโชกุนตอบว่ามีงบจากนายทุนในต่างประเทศเป็นผู้ออกโฆษณาให้ ซึ่งทุกครั้งที่สมาชิกสอบถามก็จะบอกรายละเอียดให้ทราบ ส่วนเรื่องรายได้ต่างๆ ตนไม่สามารถตอบได้ เพราะจะรับรู้ข้อมูลผ่านทางซินแสโชกุน เท่านั้น แต่ตนและสมาชิกของบริษัท ก็ไม่เคยได้เจอตัวนายทุนชาวต่างประเทศจะมีเพียงซินแสโชกุน เพียงคนเดียวที่ได้พบ ส่วนตัวเคยไปท่องเที่ยวที่ฮ่องกงมาครั้งเดียว ซึ่งครั้งนั้นก็เป็นเพียงการไปท่องเที่ยวธรรมดา ไม่ได้ใช้ชักชวนอวดอ้างต่อสมาชิกเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือแต่อย่างใด ด้าน น.ส.ทัศย์ดาว แฟนสาวของซินแสโชกุน กล่าวว่า บริษัทเวลล์ เอฟเวอร์นั้นตั้งมาได้ประมาณ 3 เดือน โดยสาเหตุที่ใช้บ้านตนที่จ.นครสวรรค์เป็นสถานที่จดว่าตั้งสำนักงานนั้น เพราะซินแสโชกุนบอกว่าให้ใช้สถานที่เป็นบ้านของคนที่มีชื่อเป็นเจ้าของบ้านดังกล่าว ทั้งนี้ยืนยันว่าบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทขายอาหารเสริม ไม่ใช่ขายทัวร์ ซึ่งลูกทีมที่สมัครสมาชิกจะโอนเงินค่าสมัครเข้าบัญชีตน และตนเองก็เคยได้ค่าคอมมิชชั่นจากการขายอาหารเสริมแล้วประมาณ 2.8 แสนบาท ซึ่งมีคนได้เงินค่าคอมมิชชั่นสูงสุดถึง 2.4 ล้านบาท ที่สามารถระบุชื่อและตัวบุคคลได้เลย อย่างไรก็ตามเคยได้เดินทางไปเที่ยวกับทริปของบริษัทแล้ว 2 ครั้ง ไปประเทศฮ่องกง และญี่ปุ่น ซึ่งในส่วนรายละเอียดอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋วเครื่องบิน ติดต่อประสานงาน รวมถึงการทำบัญชีของบริษัทนั้น ซินแสโชกุนเป็นผู้จัดการเองทั้งหมด คนอื่นจะไม่ทราบเรื่อง