ฎีกาแก้ลดโทษ จำคุก 2 ปี 8 เดือน กำนันเซีํยะ อดีต ส.ส.กาญจนบุรี รุกที่ดินราชพัสดุ จำนวน 1 พันกว่าไร่ เมื่อปี 2547 ชี้จำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิครอบครองที่ดิน เมื่อเวลา 10.00 น.วันทั่ 18 เม.ย. 60 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดี ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายประชา โพธิพิพิธ หรือกำนันเซี๊ยะ อายุ 74 ปี อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดิน หรือก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ เป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ในที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555 บรรยายฟ้องสรุปว่า เมื่อช่วงต้นปี 2533 ถึงวันที่ 25 มีนาคม 2547 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยได้เข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง เผาป่าปลูกพืชไร่ ให้บุคคลอื่นเช่าและใช้ประโยชน์ในที่ดินรวมจำนวน 299 ไร่ ในที่ดินราชพัสดุเลขทะเบียน กจ.209 หมู่ 12 ต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี และที่ดินรวมจำนวน 900 ไร่ ในที่ดินราชพัสดุเลขทะเบียน กจ. 209 หมู่ 8 ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ต่อเนื่องติดต่อกันทั้งหมดรวมจำนวน 1,199 ไร่ โดยมิได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี และ ต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี เกี่ยวพันกัน ขอให้ศาลลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ และให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดิน ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2557 ให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอการลงโทษ ฐานกระทำผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 911 และ มาตรา 108 ทวิ วรรคหนึ่ง เข้าไปครอบครองที่ดินของรัฐ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุและเป็นที่ดินเพื่อสาธารณประโยชน์ ขณะที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ (1) (3) ให้จำคุก4 ปี แต่คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้จำคุก 3 ปี ต่อมาจำเลยยื่นฎีกา และนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่นายประชา จำเลยไม่มาศาล ศาลจึงให้ออกหมายจับพร้อมเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกา โดยวันนี้เมื่อถึงเวลานัด นายประชา ก็ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา ศาลจึงอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลับหลังจำเลย ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษากันแล้วเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินท้องที่ อ.เมืองกาญจนบุรี อ.วังขนาย อ.บ้านทวน และอ.วังกะ จ.กาญจนบุรี พ.ศ.2481 เพื่อประโยชน์ในราชการทหาร ลงวันที่ 11 ต.ค.2481 โดยกำหนดให้ที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่อยู่ในเขตหวงห้ามดังกล่าวตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาครอบคลุมที่ดินในท้องที่ อ.จอมบึง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี กับ อ.ด่านมะขามเตี้ย ซึ่งได้ปิดประกาศให้ประชาชนทราบโดยทั่วไปแล้ว โดยที่ดินหวงห้ามครอบคลุมกับที่พิพาทด้วย แม้ขณะที่จำเลยซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวมาจากนายไพโรจน์ เชาว์ดี หรือเสี่ยอู๊ด มานั้นสภาพที่ดินมีการทำประโยชน์โดยปลูกพืชไร่อยู่ก่อนแล้วก็ตาม แต่ที่ดินพิพาทมีจำนวนมากถึง 1,199 ไร่เศษ การที่จำเลยตกลงซื้อที่ดินพิพาทมาลงทุนทำประโยชน์ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก จำเลยน่าจะต้องศึกษาหรือสอบถามความเป็นมาของที่ดินพิพาทจากบุคคลหรือส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง แต่จำเลยกลับตกลงซื้อโดยไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายและที่ดินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือสำคัญแสดงสิทธิในที่ดิน นอกจากนั้นจำเลยได้เข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทของรัฐ โดยมิได้ขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กรณีจึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่า จำเลยยึดถือครอบครองที่ดินพิพาท โดยรู้ว่าเป็นที่ดินหวงห้ามที่ใช้เพื่อประโยชน์ของราชการทหาร มิใช่เข้ายึดถือครอบครองโดยขาดเจตนา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่เนื่องจากทางนำสืบของจำเลยที่รับว่าได้เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าวนั้น เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาล กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 พิพากษาจำคุกจำเลย 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากคดีนี้เเล้วศาลฎีกายังมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก นายประชา 5 ปี นางเขมพร ต่างใจเย็น ภรรยา น.ส.วรรณา ล้อไพบูลย์ คนสนิทนางเขมพร ให้จำคุก 4 ปี ในความผิดอั้วประมูลกรณีขัดขวางไม่ให้บริษัทวัสดุเซ็นเตอร์ เข้าเสนอราคาประมูลโครงการก่อสร้าง ปี 2542-2544 ซึ่งอยู่ระหว่างออกหมายจับเพื่อรับโทษตามคำพิพากษาต่อไป