เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 24 เมษายน ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นางรัศมี ดวงพระจันทร์ อายุ 49 ปี พร้อมด้วยผู้เสียหาย รวม 15 คน เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.นนท์นรัตน์ มุลิจันทร์ เจ้าของบริษัท ปาลิตต้าเพียว อินเตอร์คอสเมติก จำกัด ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน โดยนำเอกสารหนังสือสัญญาร่วมลงทุน สลิปโอนเงินทางบัญชีธนาคาร และเอกสารที่เกี่ยวข้อง มามอบไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินคดี นายเอ (นามสมมติ) หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า รู้จักกับ น.ส.นนท์นรัตน์ เพราะเดิมทีทำงานด้านก่อสร้างมาก่อน ภายหลังจึงมาชักชวนให้ร่วมลงทุนธุรกิจผลิตครีมบำรุงผิว โดยอ้างว่ามีพี่คนหนึ่งทำงานบริษัทผลิตครีมจึงสนใจอยากจะตั้งบริษัททำเองแต่อยู่ระหว่างหาเงินลงทุน ขณะนั้นก็ได้เห็นว่าสินค้ามีอยู่จริง แต่เขาขอให้เพียงเป็นหุ้นส่วน ไม่ขอให้มีชื่ออยู่ในบริษัท เนื่องจากเวลาเป็นหุ้นส่วนผลิตสินค้าหรือทำอะไรก็แล้วแต่จะต้องมีลายลักษณ์อักษรของหุ้นส่วน จะทำให้ขั้นตอนในการติดต่อหน่วยงานต่างๆ ล่าช้า จึงขอให้มีชื่อเขาเพียงคนเดียว นายเอ กล่าวต่อว่า ส่วนการเริ่มก่อตั้งบริษัทแห่งนี้เท่าที่ทราบคือตั้งแต่ปี 2558 เป็นเวลา 2 ปี อย่างที่บอกคือช่วงแรกก็มีการให้เงินปันผลจริงเป็นจำนวน 30% ของเงินลงทุน ตนก็ได้ถือเงินอยู่พักหนึ่ง เขาก็จะขอให้ลงทุนเพิ่มอีก โดยให้เหตุผลว่าต้องผลิตสินค้าเพิ่ม เพราะสินค้ากำลังขายดี มีการส่งออกไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา สวีเดน ฮ่องกง ฯลฯ โดยที่มีเอกสารที่ระบุว่าการส่งออก แต่ตนก็ไม่ทราบว่าใช่เอกสารส่งออกสินค้าจริงหรือไม่ จากนั้นช่วงหลังๆ ก็ไม่มีการส่งเงินปันผลให้อีก ขณะนั้นตนก็ยังไม่ทราบว่ามีการระดมทุนกันเยอะขนาดนี้ ที่ทราบคือเขาจะบอกว่ามีแค่คนเดียว นายเอ กล่าวอีกว่า กระทั่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีตัวแทนรายย่อยที่เขาไประดมทุนมา โดยบางรายก็ลงทุนไปเป็นหลักหมื่นถึงหลักแสน หรือแม้แต่ลงทุนไปหลักล้านก็มี ซึ่งตนเพิ่งมารู้ภายหลัง เมื่อเขาหลบหนีไปแล้ว เขาหนีไปเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ หลังจากเรื่องแดงขึ้นมา จากการที่มีการพูดคุยกันในแอพพลิเคชั่นไลน์ระหว่างกลุ่มผู้เสียหาย โดยยอดรวมเท่าที่ทราบเกิดความเสียหายประมาณ 10 ล้านบาท ก่อนจะรวมตัวกันเดินทางไปทวงถามที่บ้านของ น.ส.นนท์นรัตน์ ซึ่งจดทะเบียนบริษัทเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าตัวเขาไม่อยู่แล้ว รวมทั้งคนในครอบครัวเขาด้วย “ธุรกิจนี้เหมือนเป็นธุรกิจของครอบครัวเขา ไม่ได้ทำอะไรกันเลย เขาจะขายครีมตัวนี้โดยตรงเพียงอย่างเดียว ซึ่งวันนั้นที่ไปทั้งหมด 4 แห่ง คือบ้านเขา 2 หลัง และชอปขายสินค้าของเขา ซึ่งปรากฏว่าปิดไปหมดทั้ง 4 ที่ หมายเลขโทรศัพท์ก็ไม่สามารถติดต่อใครได้เลย ไม่เฉพาะแต่ น.ส.นนท์นรัตน์ มุลิจันทร์ เพียงคนเดียว รวมถึงสามีเขาด้วย น้อง หรือทางญาติๆ เขา ก็ติดต่อไม่ได้เลย จะมีก็ระยะหลังซึ่งพอจะติดต่อญาติเขาได้บ้าง ก็มีการสอบถามถึงเรื่องเงินลงทุนว่าจะได้คืนหรือไม่ ทางผู้เสียหายที่ต้องการแค่เงินต้นที่นำไปลงทุนคืนมาก็พอ ไม่ต้องการเงินปันผล แต่เขาก็อ้างว่ากำลังทำเรื่องกู้เงินจากธนาคารมาใช้คืน” นายเอ กล่าว นายเอ กล่าวว่า ทางญาติของ น.ส.นนท์นรัตน์ บอกว่าหากกู้เงินธนาคารได้ จะยอมคืนเงินลงทุนให้แค่คนที่ไม่แจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.นนท์นรัตน์ เท่านั้น ส่วนใครที่แจ้งความดำเนินคดี ก็ขอให้ไปฟ้องร้องเอาเองจะไม่คืนเงินให้ แต่หลังจากเมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากเดินทางไปติดตามทวงถามอีกครั้ง เพื่อจะขอเงินคืนก็ไม่พบใครและติดต่อไม่ได้อีกแล้วจึงรวมตัวกันเข้าแจ้งความในครั้งนี้ ขณะที่ นางรัศมี กล่าวว่า ทำธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่สหรัฐอเมริกา รู้จักกับผลิตภัณฑ์ครีมดังกล่าวจากญาติที่อยู่ประเทศไทย โดยได้ศึกษาข้อมูลของครีม ก่อนจะตัดสินใจนำเงินมาร่วมลงทุน ซึ่งครั้งแรกได้เปิดสาขานำสินค้าออกวางจำหน่ายที่สหรัฐฯ โดยแต่ละเดือนสามารถขายได้ประมาณ 50 ชุด ในราคาชุดละ 100 ดอลล่าร์สหรัฐฯ จากนั้นทาง น.ส.นนท์นรัตน์ ติดต่อมาว่ามีรายการสั่งซื้อครีมนี้จากประเทศจีน หากสนใจลงทุนด้วยจะได้รับเงินปันผล 30% จากเงินลงทุน ซึ่งจากการพูดคุยกัน ตนก็สนใจและว่าจะลงทุนเป็นเงิน 1.25 ล้านบาท โดยใช้เวลาประมาณ 2 เดือน จึงจะได้รับเงินต้นและเงินปันผลคืน แต่เมื่อครบกำหนดแล้วก็ยังไม่เงินคืน ก่อนจะถูกชักชวนให้ลงทุนต่อ กระทั่งเมื่อช่วงต้นปี 2560 ตนพยายามทวงถามและขอเงินลงทุนคืน กลับถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด ส่วนนางกาญจนา ฉายาลักษณ์ ผู้เสียหายที่เป็นผู้ผลิตครีมให้กับ น.ส.นนท์นรัตน์ เปิดเผยว่า ตนได้รับความเสียหายจากเจ้าของแบรนด์โกงเงินค่าผลิตครีม เป็นเงิน 5.1 ล้านบาท โดยหลังจากผลิตสินค้าส่งให้แล้วและมีการทวงเงินที่ตกลงจ่ายกันเป็นงวด กลับถูก น.ส.นนท์นรัตน์ บ่ายเบี่ยง อ้างว่าเงินที่จะได้เป็นเงินก้อนใหญ่มาจากต่างประเทศ แต่ติดปัญหาเรื่องการโอนเงิน ด้าน พล.ต.ต.สุทิน กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับเรื่องไว้ ก่อนจะมอบหมายให้พนักงานสอบสวน สอบปากคำ และหากข้อเท็จจริงประกอบพยานหลักฐานต่างๆ เป็นไปตามคำให้การของผู้เสียหาย กรณีนี้ก็จะเข้าข่ายเจตนาหลอกลวง ซึ่งเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดยขณะนี้พบว่ามีมูลค่าความเสียหายประมาณ 50 ล้านบาท สำหรับการพิจารณาดำเนินคดีก็คงต้องเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย