กองปราบฯกลุ่มผู้เสียหายเจ้าของแบรนด์สินค้าต่างๆ กว่า 20 แบรนด์ รวมตัวแจ้งจับเจ้าของบริษัทรับสร้างแบรนด์ ฉ้อโกงประชาชน สูญเงินกว่า 30 ล้าน เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 25 เมษายน ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) น.ส.ธนัทธรณ์ ตะนาวสินรังสี หรือนินท์ อาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัว พร้อมกลุ่มผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของหรือตัวแทนแบรนด์สินค้าต่างๆ กว่า 20 แบรนด์ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป. พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์ พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง (น.ส.อรอุมา กุลนาค หรือมด กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท บีเอ็มพี (ประเทศไทย) จำกัด) ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดยทำหนังสือร้องทุกข์และนำเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน น.ส.ธนัทธรณ์ กล่าวว่า ได้รู้จักบริษัทดังกล่าวผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2559 ซึ่งดำเนินธุรกิจในการรับสร้างแบรนด์และโปรโมทสินค้า เพื่อเสนอขายไปยังตลาดในประเทศจีน ต่อมา ได้ทราบว่าบริษัทแห่งนี้ได้จัดทำโครงการ “50 ไชนีสเน็ตไอดอล อะเมซิ่ง ไลฟ์อินไทยแลนด์ 2016” ซึ่งเป็นโครงการจัดหาเน็ตไอดอลชื่อดังในประเทศจีนที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน มาช่วยโปรโมทสินค้าให้กับประกอบการชาวไทย โดยเน็ตไอดอลจะมีการพูดโปรโมทสินค้าให้เป็นเวลา 30 นาที ผ่านช่องทางถ่ายทอดสดทางเว็บไซต์เทาเป่า “Taobao Live” ซึ่งเป็นเว็บไซต์ชอปปิ้งออนไลน์ยอดนิยมในประเทศจีน พร้อมกับการันตีว่าหากเข้าร่วมโครงการแล้วจะมีลูกค้าในประเทศจีนมาสั่งซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการที่สนใจร่วมโครงการจะถูกคิดค่าใช้จ่ายเป็นยูนิตๆ ละ 75,900 บาท โดยทุก 1 ยูนิต จะมีการจัดหาเน็ตไอดอล 1 คน เพื่อโปรโมทสินค้าให้ น.ส.ธนัทธรณ์ กล่าวต่อว่า เมื่อรู้สึกสนใจเพราะอยากขยายตลาดแบรนด์สินค้าของตนเพื่อไปขายในประเทศจีนอยู่แล้ว จึงสมัครซื้อยูนิตไป แต่ภายหลังกลับปรากฏว่า เน็ตไอดอลที่กล่าวอ้างนั้นไม่ได้มีชื่อเสียงหรือผู้ติดตามเป็นหลักล้านโดยมีผู้ติดตามแค่หลักพันถึงหลักหมื่นคน ส่วนการพูดโปรโมทสินค้าก็ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ที่สำคัญหลังจากโปรโมทสินค้า ยอดขายก็ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายตามที่มีการกล่าวอ้าง น.ส.ธนัทธรณ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การดำเนินการอีกหลายอย่างของโครงการนี้ ก็ไม่ตรงตามที่ระบุไว้ เช่น กรณีที่อ้างว่าจะลงโฆษณาสินค้าให้ในเว็บไซต์เทาเป่า ก็ไม่มีการลงโฆษณา , การรายงานการสั่งซื้อสินค้าของผู้ประกอบการ ก็ไม่มีการดำเนินการ หรือแม้แต่การดูแลด้านการตลาดให้ตลอดระยะเวลา 5 ปี โดยขณะนี้พบว่ามีผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าต่างๆ กว่า 20 แบรนด์ ที่หลงเชื่อ จ่ายเงินซื้อยูนิตเพื่อเข้าร่วมโครงการดังกล่าวจนได้รับความเสียหายเป็นมูลค่ารวมกว่า 30 ล้านบาท ผู้เสียหายรายนี้ กล่าวว่า ในส่วนของข้อมูลเกี่ยวกับตัวของเจ้าของบริษัทดังกล่าวนั้น พบว่ามีการสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการออกหนังสือ “ปล้นคนจีน” อ้างว่าเป็นเจ้าของโรงงานผลิตขนตาปลอมเจ้าเดียวในประเทศไทย เคยอาศัยในประเทศจีนมานานกว่า 10 ปี รวมถึงการอ้างถึงบริษัทและสถาบันการเงินชื่อดัง ร่วมสนับสนุนโครงการนี้ด้วย จึงการกระทำดังกล่าวจึงน่าจะมีเจตนาที่จะหลอกลวงผู้เสียหายมาแต่แรก พวกตนจึงรวมตัวกันเข้าแจ้งความในครั้งนี้ ด้าน พล.ต.ต.สุทิน กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับเรื่องไว้โดยมอบหมายให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้ร้องทุกข์และรวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนพิจารณาดำเนินคดีต่อไป