การพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช การดำเนินการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช รัชกาลที่ 9 ที่เป็นโครงการต่าง ๆ นั้นมีเป้าหมายสำคัญสูงคือ ความสงบสุขมั่นคงของชาติแต่มีลักษณะการดำเนินงานและกลวิธีที่อาจแตกต่างกันบ้าง ซึ่งอาจแยกแยะแนวพระราชดำริของพระองค์ได้เป็น 3 ลักษณะกว้าง ๆ ดังนี้ โครงการที่มีลักษณะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า (ระยะสั้น) ,โครงการที่มีลักาณะการแก้ไขปัญหาหลักของชาติ (ระยะยาว),โครงการที่มีลักาณะเป็นการศึกษาค้นคว้า ทดลอง และวิจัย เพื่อการพัฒนา โครงการที่มีลักษณะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้นส่วนใหญ่จะเน้นการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ประชาชนเผชิญอยู่เป็นลำดับแรกก่อน ถึงแม้ว่าอาจจะมีข้อโต้แย้งทางวิชาการว่า มิได้เป็นการแก้ไขปัยหารากฐานหรือปัญหาโครงสร้าง ในเรื่องนี้ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับแนวความคิดที่จะต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก่อนดังนี้ “...ถ้าปวดหัวก็คิดอะไรไม่ออก...ต้องแก้ไขปวดหัวนี้ก่อน...มันไม่ได้แก้อาการจริง แต่ต้องแก้ปวดหัวก่อน เพื่อจะให้อยู่ในสภาพที่จะคิดได้...” นอกจากนั้น ในจุดที่จำเป็นต้งแก้ไขอย่างรีบด่วน ซึ่งประชาชนไม่สามารถรอได้ พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก็ทรงมีแนวพระราชดำริชัดเจนอีกว่า “เราต้องถือจิตวิทยา ต้องไปเร็วที่สุด” ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ กรณี 7 หมู่บ้านในพื้นที่กิ่งอำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นพื้นที่ยากจนในเขตอิทธิพลของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ขบวนการพัฒนาของรัฐยังเข้าไปไม่ถึง เนื่องจากปัญหาด้านการจัดลำดับความสำคัญของโครงการของรัฐ ภายหลังจากที่มีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเข้าไปดำเนินการแก้ปัญหาในพื้นที่เหล่านั้นแล้ว ปัญหาความมั่นคงที่เคยมีอยู่ก็ลดน้อย และหมดสิ้นไปในที่สุด นอกจากนี้ หลักจิตวิทยาและแนวทางที่มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ประชาชนยังเห็นได้จากกรณีของโครงการแพทย์หลวงและแพทย์พระราชทาน ซึ่งเริ่มในพ.ศ 2508 ตลอดจนโครงการธนาคารข้าวและธนาคารโค-กระบือ การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กเพื่อการอุปโภคบริโภค และโครงการฝนหลวง เป็นต้น อนึ่ง ตามแนพระราชดำริที่ทรงถือหลักจิตวิทยาว่า “ต้องไปเร็วที่สุด” ด้วยนั้น มิใช่แต่เป็นเรื่องโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ยังรวมถึงโครงการอื่น ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาที่จะขยายวงลุกลามต่อไปได้ง่าย ซึ่งจะ “ต้องไปเร็วที่สุด” เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมด้วย นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังทรงมีหลักในการพิจารณาบางกรร๊ด้วยว่า โครงการเมื่อเริ่มแรกอาจจะดูว่ามีราคาแพง แต่ถ้ารีบทำให้เสร็จโดยเร็ว ผลประโยชน์จากโครงการนั้นก็จะได้รับเร็ว ซึ่งเมื่อวิเคราะห์คำนวณตามหลักวิชาการแล้วผลที่ได้รับนั้นจะคุ้มค่าในที่สุด แต่ในบางกรณีก็ไม่อาจวิเคราะห์ความคุ้มค่าของโครงการได้อย่างชัดเจน ดังเช่นกรณีที่เกี่ยวกับโครงการที่ต้องใช้หลักสังคมจิตวิทยา หรือหลักรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยในการตัดสินใจแทนหลักเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งในกรณีนี้ก็จะทรงใช้วิธี “ใช้จ่ายให้เกิดผลประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุด” เพื่อที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ด้วยการประหยัดอยู่ตลอดเวลา โครงการที่มีลักษณะแก้ไขปัญหาหลัก โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริส่วนใหญ่มีเป้าหมายมุ่งต่อการแก้ไขปัญหาในชนบทแทบทั้งสิ้นโดยเฉพาะชาวชนบทที่ยากจนอยู่ห่างไกลทุรกันดาร หรืออยู่ในลำดับความสำคัญรองเมื่อพิจารณาในเชิงขีดความสามารถในการพัฒนาจากภาครัฐ การดำเนินการตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่มุ่งแก้ไขปัญหาหลักในชนบทดังกล่าวส่วนสำคัญก็คือโครงการพัฒนาแบบผสมผสานหรือสมบูรณ์แบบ หรือโครงการพัฒนาเบ็ดเสร็จ นับตั้งแต่แรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเริ่มมีพระราชดำริในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในชนบทโครงการพัฒนาแบบผสมผสานเป็นโครงการหนึ่งที่มีบทบาทอย่างมากเป็นเครื่องมือสำคัญต่อสู้กับปัญหาชนบท โดยเฉพาะความยากจน ทั้งนี้เพราะทรงทราบดีว่าปัญหาความยากจนในชนบทนั้น มิใช่แก้เหตุปัจจัยใดเพียงเหตุปัจจัยเดียวแล้วความยากจนหรือปัญหาต่าง ๆ จะหมดไป แต่ต้องแก้เหตุปัจจัยหลายๆ ด้าน ซึ่งต้องการความเชี่ยวชาญในหลายสาขาวิชาร่วมกัน วัตถุประสงค์ที่สำคัญของการพัฒนาชนบทแบบผสมผสานนี้ คือ การยกระดับมาตรฐานการครองชีพของชาวชนบท หรือการช่วยเหลือเกษตรกรยากจนให้มีการกินดีอยู่ดี ที่เรียกกันว่ามีคุณภาพแห่งชีวิต เหตุที่ต้องมีการพัฒนาชนบทแบบผสมผสาน ก็เพราะว่าการพัฒนาชนบทนั้นไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ได้โดยมุ่งที่เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งแต่อย่างเดียว เช่นเป้าหมายเพิ่มผลิตผล เป้าหมายการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรเป้าหมายการขจัดความยากจน เป้าหมายการการเสริมสร้างการพึ่งพาตนเองของชุมชน ฯลฯ การพัฒนาชนบทจะสำเร็จได้ต้องมีเป้าหมายอย่างน้อยทุกประการข้างต้น เมื่อมีเป้าหมายหลายเป้าหมาย การพัฒนาชนบทจึงเป็นเรื่องของสหวิทยาการ ซึ่งนักวิชาการและหน่วยราชการทุกสาขาจะต้องร่วมมือกับประชาชนซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมากที่สุด พระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงให้มีการจัดและพัฒนาที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ยากจนนั้นเป็นต้นกำเนิดที่สำคัญของการพัฒนาชนบทแบบผสมผสานในประเทศไทย ทั้งนี้เพราะโครงการมีความมุ่งหมายที่จะส่งเสริมให้ระดมสรรพกำลังของหน่วยราชการหลาย ๆ หน่วยเข้าไปดำเนินการร่วมกันอย่างสมัครสมานและต่อเนื่องเพื่อพัฒนาให้ชาวชนบทนั้น “พออยู่ พอกิน” ตามควรแก่อัตภาพ การใช้ถุงพลาสติกคลุมดินป้องกันแมลงสร้างความเสียหายแก่พืช เป็นวิธีพัฒนาที่ดินวิธีหนึ่ง บ่อน้ำ แหล่งน้ำในชนบท มีประโยชน์ในการอุปโภคบริโภค การเกษตร และการเลี้ยงปลา โครงการที่มีลักษณะเป็นการศึกษาค้นคว้า ทดลองและวิจัย โครงการที่มีลักษณะเป็นการศึกษาค้นคว้าทดลอง และวิจัยนี้ เป็นงานที่ทรงเริ่มอย่างจริงจังเพื่อพัฒนาชนบทมาไม่น้อยกว่า 20 ปี ทั้งที่ทรงศึกษาภายในเขตพระราชฐานและนอกเขตพระราชฐาน โดยเฉพาะการพัฒนาด้านการเกษตร ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาสังคมไทยระยะยาว ความพยายามดังกล่าวนี้เป็นการเตรียมพระองค์ในด้านข้อมูล และความรู้ที่จะทรงนำไปประยุกต์แก้ไขปัญหาและเผยแพร่แก่เกษตรกรในชนบท รวมทั้งเป็นการแสวงหาแนวทางการพัฒนาที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพสังคมไทย การศึกษาเพื่อการพัฒนาชนบทดังกล่าวนี้ครอบคลุมทุกเรื่องที่มีความสำคัญต่อปัจจัยการผลิต เช่น น้ำ ดิน ความรู้ในเรื่องการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ทุนและการตลาด นอกจากนี้ ยังเจาะลึกในรายละเอียดว่าในแต่ละท้องถิ่นนั้นมีสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของประชาชน ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิธีการดำรงชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้น การพัฒนาที่จะได้ผลสูงสุดคือการพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นนั้น ๆ จึงทรงตั้งศูนย์การศึกษาอันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้นตามภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้ทำการศึกษาค้นคว้า ค้นหาปัญหาและแนวการพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพของภูมิภาคนั้น ๆ ซึ่งศูนย์ฯ ดังกล่าวจะเป็นที่รวมของการพัฒนาต่าง ๆ ในทุกสาขาหลักที่จำเป็นของแต่ละภูมิภาคซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่าเป็น “สรุปผลของการพัฒนา” หรือ “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต” ที่ประชาชนจะสามารถเข้าไปเรียนรู้เรื่องการพัฒนาต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของตนได้ตามความต้องการ รวมทั้งยังทำหน้าที่ให้การบริการทางวิชาการแก่พื้นที่อื่น ๆ ที่จะนำผลการศึกษาไปพัฒนาเผยแพร่ต่อไปด้วย ปัจจุบันศูนย์ฯ ดังกล่าวมีอยู่จำนวน 6 ศูนย์คือ 1.ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา 2.ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมากจากพระราชดำริ อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี 3.ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี 4.ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร 5.ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ 6.ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส วารสารจดหมายข่าวสำนักงานเลขาธิการ