"พิสิษฐ์" ยัน สื่อต้องมีใบประกอบวิชาชีพ ไม่ต่างจากนวดแผนโบราณถ้าใครไม่มีก็ต้องจำคุกเหมือนกัน ชี้เว็บ sanook - kapook เข้าข่ายสื่อออนไลน์ภายใต้ กม.คุ้มครองสื่อ เผย ต้นสังกัด บริษัท หากรับนักข่าวไม่มีใบอนุญาติมาทำงาน ก็ต้องถูกจำคุกด้วย วันที่ 26 เม.ย.60 พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ รองประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)เปิดเผยว่า จะนำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ..... เข้าสู่การพิจารณาของวิปสปท.คาดว่าจะสามารถบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ สปท. ในวันที่ 8-9 พ.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาคือเรื่องโทษ กรณีหากนักข่าวไม่ไม่มีใบอนุญาต ตามเวลาที่กำหนดจะมีความผิด จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท รวมถึงองค์กรสื่อที่รับนักข่าวที่มีมีใบอนุญาตมาทำงานก็จะมีความผิดจำคุกและปรับเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ยังเป็นไปเพื่อป้องกันไม่ให้นักข่าวที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตและถูกไล่ออกจากที่หนึ่งไปทำงานกับอีกที่หนึ่ง “เรื่องโทษที่เพิ่มขึ้นมานี้เจตนารมณ์ไม่ต้องการลงโทษใคร แต่มองเรื่องการบังคับว่าคุณต้องไปขอรับใบอนุญาต เรามานั่งคิดกันว่าหากคนที่ไม่ยอมขึ้นทะเบียนขอใบอนุญาตจะทำอย่างไร เราก็ไปเทียบเคียงกับกฎหมายที่มีอยู่ ขนาดนวดแผนโบราณไม่มีใบอนุญาตยังมีโทษจำคุกสองปีเบากว่าคุณอีก สื่อเวลาไปทำอะไรเสียหายทีผลกระทบวงกว้างกว่าเยอะ” พล.ต.ต.พิสิษฐ์กล่าว พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าวว่า เรื่องใบอนุญาตสื่อนั้น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะมีความชัดเจน แต่จะมีประเด็นตรงสื่อออนไลน์ ซึ่งเราขีดวงจำกัดว่าผู้ประกอบวิชาชีพสื่อออนไลน์นั้น ต้องมีเจตนา ทำต่อเนื่อง และมีรายได้ทั้งทางตรงทางอ้อมหรือไม่ ตรงนี้ทางสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติจะเป็นคนกำหนดรายละเอียด เราแค่วางกรอบคร่าวๆ เมื่อถามว่า บางเว็บเพจดังอย่าง Drama-addict ที่ยังก้ำกึ่งว่าเข้าข่ายสื่อออนไลน์จะต้องขึ้นทะเบียนด้วยหรือไม่ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าว่า ต้องดูเจตนารมณ์ การทำงาน และดูว่ามีรายได้จากที่ทำทั้งทางตรงหรือทางอ้อมหรือไม่ ถ้ามีก็เข้าข่ายหมด อย่างเว็บไซต์ sanook kapook หรือข่าวทางไลน์ ที่มีรายได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมก็ถือว่าเข้าข่ายซึ่งเราเขียนให้ครอบคลุมทั้งหมดไม่ได้ ต้องไปดูในอนาคตว่าจะทำกันอย่างไร เมื่อถามว่าสื่อมวลชนออกมาคัดค้านร่างพ.ร.บ.นี้อย่างหนักจะมีการทบทวนเนื้อหาหรือไม่ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าวว่า 30 องค์กรสื่อไม่เอากับเราอยู่แล้ว สภาฯ ก็ไม่เอา ใบอนุญาตก็ไม่เอา รัฐธรรมนูญก็ให้สิทธิร่าง พ.ร.บ.นี้ ก็แค่เป็นกรอบจริยธกรรม ซึ่งคนที่กำหนดก็คือสื่อ ตัวแทนภาครัฐ ประชาชน หากให้สื่อเขียนอย่างเดียวก็อาจเขียนเข้าข้างตัวเองไปหน่อย “สิ่งที่กังวลเราก็เอามาพิจารณา ไม่ใช่ไม่ฟัง เราก็ปรับ แต่หนึ่งหลักการต้องมีสภา สองใบอนุญาต ส่วนที่ไม่เอาใบอนุญาตก็ต้องถามกลับว่า ทำไมใบอนุญาตอาชีพอื่นต้องมี สื่อต่างจาออาชีพอื่นตรงไหน เราไม่ได้ว่าของเราถูกต้องทั้งหมด ยังต้องรับฟังคนอื่น ต้องผ่าน ครม.กฤษฎีกา สนช.และทำประชาพิจารณ์ตามาตรา 77 สุดท้ายไม่รู้ว่าจะเหลือเหมือนเดิมถึงครึ่งไหมใครจะรู้”พล.ต.ต.พิสิษฐ์กล่าว พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าวอีกว่า เนื้อหาอีกส่วนที่มีการปรับคือเรื่อง เงินอุดหนุนสภาฯ ที่เดิมมาจากรัฐใช้ภาษีบาปแต่มีหลายคนท้วงว่าจะเกิดปัญหาขัดรัฐธรรมนูญจึง เปลี่ยนให้ไปขอจากสทช.ในช่วงเตรียมการ 2 ปีและดำเนินการ 5 ปี ก่อนเพื่อจะมีรายได้มาบริหารจัดการ จากนั้นค่อยมาคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อ