“อุเทน” เชียร์ คสช.สางปมผลประโยชน์ใน “สุวรรณภูมิ” ยกนิ้ว “พะจุณณ์" กล้าลุยไม่สนหน้าไหน ชี้สัมปทานสุวรรณภูมิเอาเปรียบประเทศชาติ หากไม่กล้าจัดการก็อย่ามาพูดเรื่องปราบโกงอีก สับ 3 ปี คสช.เก่งแต่คนตัวเล็ก ใช้ กม.เหมือนใยแมงมุม ย้ำแก้ พ.ร.บ.เงินตราฯเปลี่ยนสีธนบัตร-ยกเลิกแบงค์พัน รีดเงินสีดำคืนสู่ระบบ จะปราบโกงได้ นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้สรุปผลการศึกษากรณีโครงการของรัฐที่เสียเปรียบภาคเอกชน กรณีการทำสัญญาระหว่าง บริษัท ท่าอากาศยานไทยฯ (AOT) กับ กลุ่มคิงเพาเวอร์ (King Power) และเสนอให้ภาครัฐยกเลิกสัญญากับเอกชน รวมทั้งเสนอปลดผู้บริหารและกรรมการ AOT ว่า เรื่องนี้ต้องขอชื่มชมและให้กำลังใจ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป สมาชิก (สปท.) อดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษและนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ในฐานะรองประธาน กมธ.วิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ของ สปท. ที่ได้เกาะติดเรื่องนี้มาโดยตลอด และมีส่วนสำคัญที่เสนอให้มีการจัดการกับสัญญาที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภาครัฐ ในกรณีของสนามบินสุวรรณภูมิออกมา โดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่ก็ขึ้นอยู่ที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายบริหารเท่านั้นที่จะกล้าตัดสินใจดำเนินการตามผลการศึกษาของทาง สปท.หรือไม่ เพราะต่างก็ทราบกันดีว่าหลายสัญญาที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมินั้น มีลักษณะที่ส่อว่า ขัดเงื่อนไขสัญญาสัมปทาน (TOR) และมีแนวโน้มจะขัดต่อพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือการดำเนินกิจการของรัฐ 2535 และส่อว่าขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการสมยอมราคา พ.ศ.2542 หรือ พ.ร.บ.ฮั้ว และกฎหมายอื่นๆอีกหลายฉบับ แต่ที่ผ่านก็ไม่มีรัฐบาลใดกล้าที่จะเข้าไปจัดการปัญหาให้เด็ดขาด จนมีข้อสงสัยว่ามีการวิ่งเต้น หรือรับผลประโยชน์เพื่อให้เรื่องนี้เงียบไปหรือไม่ “กรณีของสัมปทานต่างๆในสนามบินสุวรรณภูมิ ถือเป็นการฉวยโอกาสบนผลประโยชน์ชาติ ที่มีภาครัฐรู้เห็นเป็นใจ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องแสดงความกล้าหาญ และความเด็ดขาดที่จะต่อกรกับการทุจริตคอร์รัปชั่น อย่างที่ประกาศไว้เสียที ไม่ควรปล่อยผ่านให้เป็นรัฐประหารที่เสียของอีก” นายอุเทน กล่าว นายอุเทน กล่าวต่อว่า ในความเป็นจริง เรื่องสัญญาสัมปทานในสนามบินต่างๆ โดยเฉพาะสนามบินสุวรรณภูมิ ได้มีการศึกษามาหลายครั้ง สมัย พล.ร.อ.พะจุณณ์ เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หลังรัฐประหาร 2549 ก็เคยศึกษาได้ข้อสรุปที่ไม่ต่างกัน และส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแล้ว แต่รัฐบาลทหารตอนนั้นก็ไม่ดำเนินการใดๆ อาจจะเป็นเพราะสายสัมพันธ์ที่ดีของเอกชนรายใหญ่กับทางคณะรัฐประหารในตอนนั้น เมื่อปล่อยไว้มาจนถึงตอนนี้ นอกจากจะไม่มีการจัดการใดๆแล้ว กลับพบว่ามีการเอื้อประโยชน์ และสร้างความเสียหายที่มากขึ้น รัฐบาล คสช.ควรใช้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างจัดการสัญญาที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับภาครัฐ จัดการกับนายทุนรายใหญ่ที่เอาเปรียบประชาชน และประเทศชาติ เพราะ 3 ปีที่ผ่านมาของ คสช. ยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบโกงอย่างจริงจังเลย แต่กลับใช้กฎหมายเป็นเหมือนใยแมงมุมที่ดักได้เพียงสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ดักสัตว์ตัวใหญ่ๆไม่ได้ ดังที่ Thrasymachus นักปรัชญาชาวกรีกโบราณเคยเปรียบเปรยไว้ว่า กฎหมายก็เหมือนกับใยแมงมุม ที่จะดักจับได้เฉพาะคนอ่อนแอและยากจน แต่จะแหลกสลายไม่เป็นชิ้นดีเมื่อเจอกับคนรวยและผู้มีอิทธิพลบารมี คล้ายกับคำกล่าวของไทยที่ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” “ดังนั้น คสช.ที่มีอำนาจล้นเหลือ มีเวลาและได้รับโอกาสมากกว่าคณะรัฐประหารใดๆในอดีต ก็ควรที่จะกล้าใช้อำนาจ โอกาสและเวลา ขจัดบรรทัดฐานการบังคับใช้กฎหมายให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด อย่าให้คนรุ่นหลังต้องมาด่าไล่หลังว่าเสียของเหมือนนายทหารรุ่นพี่ในอดีต” นายอุเทน ระบุ นายอุเทน กล่าวต่อด้วยว่า ตนเคยเสนอให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กล้าเดินหน้าการปริวรรตเงินตรา นำเงินหรืองบประมาณที่ทุกฝ่ายโกงกินไปกลับคืนสู่แผ่นดิน โดยการแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เงินตรา พ.ศ.2501 เปลี่ยนสีธนบัตรแต่ยังคงมูลค่าเดิมไว้ โดยเฉพาะธนบัตรฉบับละ 500 และ 1,000 บาท หรือยกเลิกธนบัตรทั้ง 2 ชนิดนี้ไปเลย โดยมีหลักเกณฑ์ให้ผู้ที่ถือครองนำธนบัตรเดิมมาแลกเปลี่ยนภายในเวลาและจำนวนที่กำหนด เพื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน และนำเงินนอกระบบกลับคืนมา ซึ่งในช่วงแรกๆที่เข้ามามีอำนาจ ก็ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จะตอบรับนำไปปฏิบัติ แต่เวลาผ่านไปกลับไม่มีการผลักดันให้เป็นรูปธรรม จึงน่าเสียดายที่ พล.อ.ประยุทธ์ที่ขาดความกล้าที่จะทำเรื่องนี้.