ช่วงที่ผ่านมามีโอกาสร่วมทริปกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ไปสัมผัสและเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวอีสาน ณ จังหวัดขอนแก่น เมืองที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยวและสิ่งที่น่าสนใจมากมาย จังหวัดที่มีดีสมดังคำขวัญประจำจังหวัดที่ว่า พระธาตุขามแก่น เสียงแคนดอกคูน ศูนย์รวมผ้าไหม ร่วมใจผูกเสี่ยว เที่ยวขอนแก่นนครใหญ่ ไดโนเสาร์สิรินธรเน่ สุดเท่เหรียญทองแรกมวยโอลิมปิก วิถีชีวิตชุมชนที่น่ารัก บินลัดฟ้าจาก กรุงเทพมหานคร สู่ จังหวัดขอนแก่น ก่อนจะเดินทางต่อด้วยรถตู้ไปยัง ศิลาโฮมสเตย์ เพื่อไปสัมผัสวิถีชนบท ที่อยู่ไม่ไกลเมืองขอนแก่น โดยระหว่างทางก่อนถึงจุดหมายได้แวะ วัดโพธิ์ศรี ซึ่งเป็นจุดที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาชุมชนบ้านศิลา เนื่องจากมีสิม ที่คนอีสานเรียกแทนโบสถ์ นั้นเอง วัดโพธิ์ศรี สำหรับ สิมโบราณ ที่นี่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิมที่สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2468 มีลักษณะเป็นสิมทึบพื้นบ้านบริสุทธิ์แบบศิลปะพื้นบ้านไท-อีสาน สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง บริเวณประตูทางเข้ามีภาพวาดทหารรัษาประตูเฝ้าอยู่ บานประตูแกะสลักมาจากไม้ประดู่บอกเล่าเรื่องราวพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ด้วยลวดลายวิจิตรบรรจง ที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปมากมาย นอกจากนี้ยังมีตู้เก็บคัมภีร์เขมรโบราณด้วย โดยสิมแห่งนี้ไม่ได้เปิดให้เข้าชมโดยทั่วไป แต่ถ้าหากสนใจที่จะมาชม สามารถติดต่อเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรีบ้านศิลาหรือกลุ่มศิลาโฮมสเตย์ได้ ศิลาโฮมสเตย์ หลังจากเข้าชมสิมโบราณเป็นที่เรียบร้อย คณะได้เดินทางต่อไปยัง ศิลาโฮมสเตย์ เพื่อสัมผัสวิถีชนบท และธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์สมบูรณ์ ซึ่งชาวบ้านในชุมชนยังคงรักษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ยังคงวัฒนธรรมอันสวยงามไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน โดยจุดเด่นของศิลาโฮมสเตย์ คือ ความเป็นชนบทติดเมือง ด้วยความที่อยู่ห่างจากตัวเมืองขอนแก่นไม่ถึง 12 กิโลเมตร ทั้งยังมีแม่น้ำไหลผ่าน ทำให้กลายเป็นชุมชนที่มีทำเลที่ดี การเดินทางมาสะดวก เหมาะแก่การมาพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง สัมผัสนศิลาโฮมสเตย์ โดย นายสังคม ปานนิคม ประธานศิลาโฮมสเตย์ เล่าว่า โฮมสเตย์ดังกล่าวเกิดมาจากความต้องการสร้างกลุ่มอาชีพของชาวบ้านภายในตำบล ที่ต้องการอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิมของบ้านศิลาและต้องการให้คนภายนอกได้มาสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านภายในชุมชนที่ยังคงความเป็นสังคมการเกษตรอยู่ รวมถึงต้องการสร้างอาชีพเพื่อดึงให้เด็กและคนวัยทำงานกลับมาช่วยกันพัฒนาหมู่บ้านมากกว่าการออกไปหางานทำที่อื่น โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากเทศบาลตำบลศิลาและมหาวิทยาลัยขอนแก่น ครอบคลุมพื้นที่ 3 หมู่บ้าน คือ หมู่บ้านศิลา บึงอีเฒ่า และท่าแก โดยในปีนี้เป็นปีแรกที่เริ่มเปิดโครงการ ซึ่งมีบ้านที่เข้าร่วมเปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาพักอาศัยเสมือนเป็นครอบครัวแล้วทั้งสิ้น 14 ครัวเรือน ล่องเรือชมธรรมชาติ สำหรับกิจกรรมที่ทาง ศิลาโฮมสเตย์ จัดให้กับผู้มาพัก ภายในชุมชมแห่งนี้ คือ เมื่อมาถึงจะได้ล่องเรือชมความงดงามของธรรมชาติ ด้วยระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตร ที่ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์เงียบสงบ ทำให้ผู้มาเยือนปลอดโปร่งโล่งสบายใจ นอกจากนี้ยังเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้าน ทั้งเด็กเล็กเด็กน้อยต่างพากันมาเล่นน้ำ ปีนป่ายต้นไม้กระโดดลงแม่น้ำกันอย่างสนุกสนาน เด็กๆ เล่นน้ำกันสนุกสนาน ส่วนกลุ่มผู้เฒ่าผู้แก่ต่างออกเรือหาปลาตามริมแม่น้ำ เป็นวิถีชีวิตที่คนเมืองยากจะได้สัมผัส รวมถึงยังได้เห็นบ้านเรือนของผู้คนหลากหลายรูปแบบ ซึ่งการล่องเรือทำให้เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย สร้างความเพลิดเพลินจนลืมเวลา ซึ่งเมื่อก้มดูนาฬิกาอีกทีก็ผ่านไปแล้วเกือบชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่จะต้องออกเดินทางต่อไปยัง สวนดอกดาวเรือง ภายในหมู่บ้านที่เข้าร่วมโครงการศิลาโฮมสเตย์ เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถชมความงามของสวนดอกไม้และวิถีชีวิตเกษตรกรของชาวบ้านได้อย่างใกล้ชิด โดยดอกดาวเรืองเหลืองอร่ามไกลสุดลูกหูลูกตาดังกล่าว จะออกดอกต้อนรับผู้คนที่มาเยือนได้โพสท่าถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันอย่างสนุกสนาน ทุ่งดอกดาวเรือง ชมแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจ จาก ชุมชนหมู่บ้านศิลา ได้เดินทางเข้าที่พักเพื่อเก็บสัมภาระข้าวของ ก่อนจะออกเดินทางไปสักการะไหว้ พระมหาธาตุแก่นนคร ณ วัดหนองแวง วัดที่ถือเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจของคนขอนแก่นในยามบ่ายของวัน โดยภายในวัดจะร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทั่วอาณาบริเวณ มี พระมหาธาตุแก่นนคร หรือ พระธาตุเก้าชั้นเป็นศูนย์กลางของวัด ซึ่งลักษระพระธาตุจะเป็นสีทองอร่ามขนาดใหญ่ ฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 50 เมตร สูง 80 เมตร มีพระจุลธาตุ 4 องค์ ตั้งอยู่ 4 มุมและมีกำแพงแก้วพญานาค 7 เศียรล้อมรอบ วัดหนองแวง โดยภายใน องค์พระธาตุ ชั้นที่ 1 เป็นหอประชุมมีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าส่วนอุรังคธาตุ(ส่วนอก) และพระธาตุของพระสาวกประมาณ 100 องค์ ประดิษฐานอยู่ ชั้นที่ 2 เป็นพิพิธภัณฑ์ของชาวอีสานที่เก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ในอดีต ที่ค่อนข้างหาดูได้ยากในปัจจุบัน ชั้นที่ 3 เป็นหอปริยัติเป็นชั้นที่มีการรวบรวมตาลปัตร พัดยศ และเครื่องอัฐบริขาร ของพระภิกษุสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดขอนแก่นไว้ ชั้นที่ 4 เป็นหอปริยัติธรรม ภายในมีพิพิธภัณฑ์ของเก่า ชั้นที่ 5 เป็นหอพิพิธภัณฑ์มีบริขารของหลวงปู่พระครูปลัดบุษบา สุมโน อดีตเจ้าอาวาสวัดรูปที่ 6 ชั้นที่ 6 เป็นหอพระอุปัชฌายาจารย์ ชั้นที่ 7 เป็นหอพระอรหันต์สาวก ชั้นที่ 8 เป็นหอพระธรรมเป็นที่รวบรวมพระธรรม คัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา พระไตรปิฏก ชั้นที่ 9 เป็นหอพระพุทธตรงกลางมีบุษบกเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ทั้งนี้ในแต่ละชั้นยังมีภาพวาดลวดลายบนผนังและบานประตูหน้าต่างที่แกะสลักภาพเรื่องราวต่างๆ เช่น แนวปฏิบัติตนของชาวอีสาน หรือ เรื่องราวเกี่ยวกับนิทานชาดก เป็นต้น สำหรับวัดแห่งนี้เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 18.00 น. ขบวนแห่หมอลำคาร์นิวัล หลังจากเยี่ยมชมวัดหนองแวงแล้ว ก่อนกลับเข้าที่พักได้แวะชม ขบวนแห่หมอลำคาร์นิวัล ที่จัดเป็นครั้งแรกของประเทศ และของโลก เป็นขบวนแห่สุดยิ่งใหญ่ที่มีการตกแต่งรถในขบวนอย่างสวยงามสอดคล้องกับแนวคิดหมอลำคาร์นิวัล ซึ่งร้อยเรียงเป็นเรื่องราวหมอลำจากยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยประกอบไปด้วย 5 ขบวน ได้แก่ ขบวนยกอ้อ ยอครู ขบวนฟ้อนแอะแอ่น ลำกลอนทุกลาย ขบวนม่วนคักหลาย ลำเพลิน เชิญฟ้อน ขบวนออนซอนฟ้อนลำซึ่ง คักอีหลี ขบวนมีของดีมาต้อนมหานครขอนแก่น และถึงแม้ในระหว่างเดินขบวนฝนจะโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย แต่คนเดินขบวนก็สู้กันสุดใจ จนในที่สุดก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เที่ยวชมเมืองขอนแก่น ยามสายของเช้าวันใหม่เดินทางสู่ วัดไชยศรี บ้านสาวะถี อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เมื่อเข้ามาไปภายในวัดสิ่งที่ดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากคือ สิมโบราณ ที่สร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2460 เพราะฉะนั้นคณะที่เดินทางไปถึงจึงไม่รอช้า ที่จะเดินเข้าไปชมความงามอย่างใกล้ชิด โดยลักษณะของสิมเป็นสิมทึบแบบศิลปะพื้นบ้านไท-อีสาน มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ดูสวยงามแปลกตา เรื่องราวที่เขียนบนฝาผนังด้านนอกเป็นรูปนรกแปดขุม ภาพพระเวสสันดร ภาพทวารบาล และนิทานพื้นบ้านเรื่องสังข์สินไชยที่มีความสมบูรณ์ที่สุด ส่วนด้านในจะเล่าเรื่องพุทธประวัติ มีภาพเทพ มนุษย์และสัตว์ต่างๆ ทั้งนี้สิมแห่งนี้ ไม่อณุญาตให้ผู้หญิงเข้าไปภายใน  วัดไชยศรี หลังจากชมความงามของสิมวัดไชยศรีแล้ว จุดหมายต่อไปคือ แหล่งเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ สวนผสมผสาน และเกษตรปลอดสารพิษ ณ วนพรรณฟาร์ม อำเภอหนองเรือ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำให้ทุกคนได้เห็นแปลงเกษตรที่ยึดตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการเกษตร และให้เกษตรกรได้มีชีวิตอยู่โดยหลุดพ้นบ่วงแห่งความยากจน นอกจากนี้ภายในวนพรรณฟาร์มแห่งนี้ ยังเป็นห้องเรียนสำหรับเกษตรกรที่ต้องการสืบสานแนวทางพระราชดำริต่างๆ ยึดหลักในการบริหารจัดการพื้นที่ ที่มีอาหารการกิน มีธรรมชาติที่ดี จนสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน รวมถึงเป็นแหล่งให้ข้อมูลในการแปรรูปสมุนไพรให้มาเป็นเครื่องสำอางด้วย  วนพรรณฟาร์ม โดย นายปรีชา หงอกสีมา เจ้าของวนพรรณฟาร์ม ซึ่งเป็นผู้พาชมในส่วนต่างๆ ได้เล่ารายละเอียดภายในฟาร์ม เริ่มตั้งแต่เมื่อเดินเข้าไปจะเห็นแปลงผักปลอดสารพิษ มีผักหลายชนิด เช่น คะน้า ตะไคร้ กรีนโอ๊ค ผักสวนครัวต่างๆ ถัดมาอีกนิดไม่ไกลกันจะพบบ่อน้ำที่ไว้ใช้สำหรับรดน้ำพืชผักและเลี้ยงปลาหลายสายพันธ์ และหากเดินลึกเข้าไปภายในสุดจะพบสวนที่ปลูกไม้ยืนต้นเต็มไปหมด นับเป็นสวนที่มีความร่มรื่นเป็นอย่างมาก อีกทั้งบ่อน้ำก็ช่วยคลายความร้อนจากแสงแดดได้เป็นอย่างดี และนอกจากได้เดินชมสวนแล้ว ก่อนกลับ เนื่องจากสวนนี้มีการทำการแปรรูปสมุนไพรเป็นเครื่องสำอาง จึงมีการสาธิตการทำแชมพูและสบู่เหลวจากสมุนไพรธรรมชาติ อาทิ อัญชัน มะกูด ให้ชมอีกด้วย กลับมาทำเกษตรที่บ้านเกิด ทั้งนี้ นายปรีชา ได้เล่าให้ฟังว่า ด้วยความที่ทำงานเป็นนักฝึกอบรมของโครงการส่วนพระองค์ มูลนิธิชัยพัฒนา และจบจากคณะเกษตรศาสตร์ จึงทำให้มีความรู้ด้านเกษตรทฤษฎีใหม่และการแปรรูปสินค้าจากธรรมชาติอยู่บ้าง จึงอยากกลับมาทำเกษตรที่ขอนแก่นซึ่งเป็นบ้านเกิด โดยได้เริ่มทำสวนแห่งนี้มาตั้งแต่ พ.ศ.2551 ตามแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ และได้จัดการแบ่งสรรที่ดินตามแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เสร็จจากเยี่ยมชม วนพรรณฟาร์ม ได้เดินทางต่อไปยัง ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ อำเภอภูเวียง ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์วิจัยค้นคว้าของนักวิชาการด้านไดโนเสาร์และธรณีวิทยาสาขาต่างๆ โดยภายในมีการจัดแสดงเรื่องราวการขุดค้นพบไดโนเสาร์ที่จังหวัดขอนแก่นและบริเวณใกล้เคียง มีการจัดพื้นที่ดำเนินงานประกอบด้วย ส่วนนิทรรศการและการจัดแสดง ส่วนสำรวจและวิจัย ส่วนคลังตัวอย่าง ส่วนอนุรักษ์ 	 ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ อีกทั้งยังมีห้องประชุมขนาด 140 ที่นั่ง โรงอาหาร ร้านค้าสวัสดิการ ร้านขายของที่ระลึก โดยในการเข้าชมศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ นอกจากจะได้เข้าไปชมและฟังบรรยายเรื่องราวไดโนเสาร์และการกำเนิดโลกจากเจ้าหน้าที่แล้ว ยังได้ชมการสาธิตการทำผ้ามัดย้อม และได้ลองทำผ้ามัดย้อมลายไดโนเสาร์ที่เป็นเอกลัษณ์ของพิพิธภัณฑ์อีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่แปลกนักที่ก่อนกลับจะได้รับผ้าเช็ดหน้ามัดย้อมลายไดโนเสาร์เป็นของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับมาคนละผืนสองผืน สำหรับกิจกรรมสุดท้ายของวัน หลังจากเดินทางเที่ยวไปทั่วเมืองขอนแก่น มีโอกาสไปชมการแสดง หมอลำที่ลานกีฬาต้านยาเสพติด สวนสาธารณะบึงแก่นนคร ซึ่งได้รับความสนุกเพลิดเพลินจากการร้องเพลงและดนตรีที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของหมอลำ การแสดงบนเวทีที่สร้างเสียงหัวเราะให้ผู้ชม และบรรดาเหล่านักเต้นเท้าไฟทั้งที่อยู่บนเวทีและข้างล่างหน้าเวทีก็พากันออกลวดลายประชันกันเต็มที่ ทำให้ผู้คนที่มาร่วมงานต่างได้สัมผัสถึงบรรยากาศที่คงความเป็นงานหมอลำและรู้สึกสนุกครื้นเครง มีอารมณ์ร่วมไปกับงานได้เป็นอย่างดี เรียนรู้วิถีงานหัตถกรรม เช้าวันสุดท้ายของทริปในครั้งนี้ สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาจังหวัดขอนแก่น ที่ขึ้นชื่อในเรื่องผ้าไหม ดังนั้นจุดหมายต่อไปจึงเป็นการเดินทางไปเรียนรู้ดูการกระบวนการทำผ้าไหม ณ สถาบันส่งเสริมความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น กลุ่มหัตกรรมคุ้มสุขโข ที่บ้านดอนข่า อำเภอชนบท ชมภูมิปัญญาท้องถิ่นในการย้อมไหมมัดหมี่ที่สืบทอดภูมิปัญญามามากกว่า 200 ปี นอกจากนี้ยังได้รับความรู้เกี่ยวกับผ้าไหมของจังหวัดขอนแก่นจากเจ้าหน้าที่ได้บรรยายให้ฟัง และก่อนจะกลับเมื่อมาถึงถิ่นการทำผ้าไหมแล้ว แน่นอนว่า จะต้องมีของติดไม้ติดมือกลับไป โดยมีร้านขายผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมอยู่บริเวณทางเข้าให้ผู้ที่มาสามารถเลือกซื้อสินค้าติดไม้ติดมือกลับไปได้อย่างสะดวกสบาย จากวันแรกถึงวันสุดท้ายเรียกได้ว่าเป็นทริปที่อัดแน่นไปด้วยคุณค่าและความรู้ เพราะนอกจากจะได้ร่วมทำกิจกรรมต่างๆ แล้วยังได้สัมผัสกับวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เรียนรู้ศิลปะ วัฒนธรรม รวมถึงภูมิปัญญาของภาคอีสาน นับเป็นประสบการณ์อันแสนพิเศษที่ได้รับในช่วงสั้นๆ ที่มีคุณค่าต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ผู้ที่ต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลท่องเที่ยว ติดต่อได้ที่โทร 0-2622-1810-18 ต่อ 353,354 และ www.facebook.com/siamrath.travel โต๊ะท่องเที่ยว เรื่อง/ภาพ [email protected]