คืบหน้า อาวุธสงครามที่ พ.อ.อ.ขนจากกัมพูชาเข้าไทย ผบ.นย.งดให้ข่าว โยนให้ตำรวจจัดการ จากการที่ พ.อ.อ.ภคิณ เดชพงษ์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้านการข่าว กอ.รมน.กรุงเทพมหานคร ขนอาวุธสงคราม จากฝั่งประเทศกัมพูชาโดยผ่านฝ่ายชาวกัมพูชารายหนึ่งที่มาส่ง อาวุธสงครามที่โรงแรมในเขต อำเภอคลองใหญ่ จ.ตราด และขนผ่านจุดตรวจของทหาร 2 จุด แล้วมาประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำที่บ้านคลองสน ต.แหลมกลัด อ.เมือง จ.ตราด และ ร้อย ทพ.นย. 536 ได้รับแจ้งจากชาวบ้านพบว่ามีอาวุธสงครามภายในรถ จึงได้เดินทางมาตรวจสอบ และพบอาวุธสงกคราม ประกอบไปด้วย 1) ปีอาก้า AK 47 จำนวน 29 กระบอก (แบบพับฐาน 10 กระบอก แบบพานท้ายยาว 19 กระบอก) 2) ปืนกล ขนาด 7.62 มม. 4 กระบอก 3) ลำกล้องอะไหล่ปืนกล 1 ลำกล้อง 4) ซองกระสุนปืน AK 47 ชนิด 30 นัดจำนวน 36 ซอง 5) ซองกระสุนปืน M16 ชนิด 30 นัดจำนวน 2 ซอง 6) ซองกระสุนปืนกล 7.62 จำนวน 4 ซอง 7) กระสุนปืน AK 47 ขนาด 7.62 จำนวน 4,147 นัด 8) ลูกเบี้ยว AK 47 จำนวน 6 ชิ้น 9) กระสุน M 79 จำนวน 53 ลูก 10) ลูกระเบิดขว้างจำนวน 1 ลูก 11) กระสุน ปรส. 75 จำนวน 1 ลูก 12) กระสุนปืนขนาด 9 มม.จำนวน 10 นัด 13) ป้ายทะเบียนรถยนต์ 7625 ขอนแก่น จำนวน 2 ป้าย 14) เงินสดจำนวน 8,729 บาท 15) วิทยุติดรถยนต์พร้อมรีโมทคอนโทรล 1 ชุด รวมทั้งภาพถ่ายที่ส่งทางจดหมายอิเลคทรอนิก จากของกลางจำนวนดังกล่าวนี้ พล.ร.ท.รัตนะ วงษาโรจน์ ผู้บัญชาการนาวิกโยธิน และกองกำลังป้องกันจันทบุรีและตราด ไม่ยอมให้รายละเอียดกับสื่อมวลชน แต่บอกว่ามอบเรื่องการดำเนินคดีให้กับ ผกก.สภ.ท่าเลื่อนเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้ ไม่ยอมชี้แจงในรายละเอียดดังกล่าวทั้งหมดว่า มีความเป็นมาอย่างไร รวมทั้ง การเชื่อมโยงในเรื่องของการก่อวินาศกรรมภายในประเทศ ทางด้าน พ.ต.อ.เสรี สิริสวัสดิ์ ผกก.สภ.ท่าเลื่อน ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด ที่เดินทางมา ตรวจสอบ หลักฐานและอาวุธทั้งหมด กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการดำเนินการสอบสวนผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด และอาวุธปืนทั้งหมดที่ยึดมาได้นั้นยังต้องมีการตรวจสอบและตั้งข้อกล่าวหาจำเลยในภายหลัง ซึ่งในขั้นนี้ ได้รับรายละเอียดในเบื้องต้นจากฝ่ายทหารและจะดำเนินการสอบสวนผู้ขนอาวุธสงครามรายนี้ต่อไป ส่วนทั้ง 2 คนจะมีความเชื่อมโยงกันหรือไม่นั้นยังตอบไม่ได้ต้องรอให้มีการสอบสวนในรายละเอียดก่อน เป็นที่น่าสังเกตว่า การขนอาวุธสงครามในครั้งนี้ผ่านจุดตรวจทหารมาได้ทั้ง 2 ด่านสำคัญ คือจุดตรวจทหารของชุด ฉก.นย. 182 บ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด และ จุดตรวจของ ชุด ชค.ทพ.นย.ที่ 3 เขาล้าน ต.แหลมกลัด อ.เมือง จ.ตราด ส่วนชาวกัมพูชาที่นำรถยนต์แลนด์ครุยเซอร์เข้าออกประเทศไทยได้นั้น จะต้องเป็นบุคคลสำคัญเท่านั้นจึงสามารถเดินทางเข้าออกระหว่าง จ.ตราด และ จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา ซึ่งทั้ง 2 จังหวัดทำข้อตกลงไว้ร่วมกันว่า จะให้ผู้เข้าออกในชายแดนไทยกัมพูชาได้นั้นจะต้อง เป็นบุคคลวีไอพีของทั้ง 2 จังหวัด จึงจะสามารถผ่านจุดตรวจมาได้ อย่างไรก็ตามชาวกัมพูชารายนี้ไม่พบเห็นใน ระหว่างการสอบสวน พ.อ.อ.รายนี้แต่ประการใด นอกจากนี้ ทะเบียนรถยนต์อีซูซุ ของ พ.อ.อ.ภคิณ เดชพงษ์ ที่นำทะเบียนตรากงจักร หมายเลข ๑๕๑๐ มาติดนั้น จากการตรวจสอบพบว่า เป็นทะเบียนปลอมในการใช้ทำงาน ซึ่งที่ผ่านมาผู้ต้องหารายนี้ เดินทางเข้า-ออก ในพื้นที่จังหวัดตราด 2-3 ครั้ง มาแล้ว สำหรับ พ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์ มีชื่อตามบัตรประชาชนว่านายมนัส เดชพงษ์ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 302/1023 หมู่ 7 ต.เขาพระงาม อ.เมือง ลพบุรี จ.ลพบุรี ขณะที่ชื่อตามบัตรข้าราชการคือ พ.อ.อ.มนัส เดชพงษ์ ออกเมื่อ 18 มิ.ย.51 หมดอายุ 19 มิ.ย.57 ออกโดยกรมสรรพาวุธทหารอากาศ ดอนเมือง นอกจากนี้ในที่เกิดเหตุยังพบการ์ดงานบวช ของลูกชายของผู้ต้องหารายนี้ตกอยู่ ที่ระบุว่า จะมีการอุปสมบทในวันที่ 10-11 มิถุนายน 2560 นี้ ที่ จ.พิจิตร โดยระบุว่า นายมานพ นางทองอยู่ เดชพงษ์ พันจ่าอากาศเอก ภคิณ เดชพงษ์ (บิดา) ร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีอุปสมบทให้กับ นายธเนต เดชพงษ์ ที่ วัดหนองเต่า ต.ภูมิ อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร