จากกรณีชุดสืบสวนตำรวจท่องเที่ยว สนธิกำลังกับตำรวจ 191 และสืบสวนสน.ทองหล่อ เข้าช่วยเหลือนายวาตานาเบ้ ซินามิ นักธุรกิจเจ้าของบริษัทจำหน่าย เครื่องมือแพทย์ หลังถูกคนร้าย 3 คนจับตัวมากักขังไว้ในห้องพักเลขที่ 719 ชั้น7 อพาร์ทเม้นต์ แกรนด์ ไฮ เทค ทาวเวอร์ภายในซอยเอกมัย 23 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพ พบนายวาตายาเบ้ถูกมัดด้วยสายไฟอยู่บนเตียงนอน ในสภาพถูกทรมานจนขาขวาหัก ส่งตัวไปรักษาตัวที่รพ.บำรุงราษฎร์ โดยสามารถจับกุมนายมาซาโตะ โคบาริ(Masato Kobari) นายเลโอ ซูรุโซเอะ(Reo Tsuruzoe) และนายคิโยโต้ มิยาตะ(Kiyoto Miyata) ทั้งหมดสัญชาติญี่ปุ่น ได้ภายในห้อง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. มีรายงานจากชุดสืบสวนว่า ภายหลังการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ประกอบไปด้วยนายมาซาโตะ โคบาริ(Masato Kobari) นายเลโอ ซูรุโซเอะ(Reo Tsuruzoe) และนายคิโยโต้ มิยาตะ(Kiyoto Miyata) ก่อนคุมตัวมาสอบปากคำ ซึ่งภายหลังการสอบปากคำทั้ง 3 คน ได้เปิดปากถึงปมในการก่อเหตุว่า มีปัญหากับนายวาตานาเบ้ มาก่อนหน้านี้ ประกอบกับแค้นที่ถูกนายวาตานาเบ้ แจ้งความดำเนินคดี ซึ่งเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน นายวาตานาเบ้ มีเรื่องขัดแย้งกับผู้รับเหมาชาวญี่ปุ่นด้วยกัน โดยครั้งนั้นนายวาตานาเบ้ ผู้เสียหายว่าจ้างนายมิยาตะ รับเหมางานตกแต่งต่อเติมบ้านลูกค้าที่ประเทศญี่ปุ่นให้ มีนายเลโอ ผู้ต้องหาเป็นช่างก่อสร้าง ต่อมางานเสร็จไม่ทันเวลา ทำให้ลูกค้าปรับนายมิยาตะวันละ1หมื่นเยน ต่อมายังทราบอีกว่านายเลโอ ได้ยักยอกทรัพย์สินของบ้านลูกค้าที่เข้าไปตกแต่งต่อเติม ซึ่งทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็น ไวน์ชั้นดี และของโบราณทรัพย์สินอื่นๆรวมมูลค่า 15 ล้านเยน ต่อมาทรัพย์สินที่ถูกนายเลโอขโมยไปนั้น ถูกนำไปประมูลในอินเตอร์เน็ต และตามตลาดมืดต่างๆ จนถูกนายวาตานาเบ้แจ้งความดำเนินคดี ซึ่งภายหลังทางเจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่นได้สืบทราบเนื่องจากทรัพย์สินบางรายมีโค๊ดสินค้า จึงขยายผลและนำไปสู่การออกหมายจับนายเลโอและพวก รวมทั้งดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหาย 35 ล้านเยน แต่หลังก่อเหตุนายเลโอ ได้หลบหนีมาที่ประเทศไทย ตั้งแต่เดือน เม.ย. ก่อนจะชักชวนนายมาซาโตะ เดินทางเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกัน ใช้วีซ่านักท่องเที่ยว เมื่อเข้ามาประเทศไทยได้ ว่าจ้างนายคิโยโตะที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยมาขับรถ ในราคา 6 หมื่นบาทต่อเดือน ประกอบกับจังหวะที่นายวาตานาเบ้ได้เข้ามาทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องมือการแพทย์ในประเทศไทย มีภรรยาเป็นคนไทยพักอาศัยย่านแจ้งวัฒนะ ซึ่งตัวของนายคิโยโตะก็มีปัญหากับนายวาตานาเบ้ เนื่องจากนายวาตานาเบ้ได้ว่าจ้างให้นายคิโยโตะปรับปรุงอาคารสำนักงานที่ซ.สุขุมวิท 49 ซึ่งเป็นบริษัทที่ผู้เสียหายขยายกิจการมาจากประเทศฮ่องกง ซึ่งนายคิโยโตะได้ไปจ้างบริษัทรับเหมาในไทยดำเนินการแต่นายคิโยโตะ ไม่ยอมจ่ายเงินให้ผู้รับงาน และทำงานไม่เสร็จตรงตามกำหนดทำให้ถูกปรับเงินในส่วนนี้ก็มีประเด็นขัดแย้งกัน ทั้งนี้จากการตรวจค้นห้องพักชุดสืบสวนพบกระดาษโน้ตหนึ่งแผ่น มีข้อความเป็นภาษาญี่ปุ่น เมื่อนำไปตรวจสอบพบว่าเป็นบทสนทนาพูดเชิญชวนให้ออกมาพบ จึงได้สอบถามกลุ่มผู้ต้องหาทราบว่า ในวันเกิดเหตุนายเลโอได้เขียนบทสนทนาดังกล่าวใส่ในกระดาษให้นายคิโยโตะ เพื่อที่โทรศัพท์คุยกับผู้เสียหายหลอกให้มาพบก่อน โดยบทสนทนาได้มีอ้างมาคุยเจรจาเรื่องงานธุรกิจ เพื่อให้นายวาตานาเบ้ออกมาพบ ซึ่งพอผู้เสียหายออกมาเจอก็นำตัวไปกักขังไว้ที่ห้องพักดังกล่าว ส่วนสาเหตุที่นายคิโยโตะยอมที่ร่วมขบวนการ เนื่องจากถูกนายเลโอกักขังตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในส่วนกรณีที่ชุดสืบสวนพบนิ้วก้อยข้างซ้ายของนายมาซาโตะถูกตัดหายไปและมีรอยสักคล้ายกับการเป็นสมาชิกแก๊งยากูซ่านั้นจากการตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงในกลุ่มฐานข้อมูลคนร้ายของตำรวจญี่ปุ่น อยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นสมาชิกกลุ่มยากูซ่าปลายแถว มีรายงานว่าก่อนหน้านี้ประมาณปี 2558 นายเลโอ กับผู้เสียหายเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันมาก่อนหน้านี้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านลุมพินี ครั้งนั้นนายเลโอได้ร่วมกับชายชาวญี่ปุ่นหนึ่งคนทำร้ายร่างกายนักธุรกิจดังกล่าว ภายหลังเกิดเหตุผู้เสียหายได้ขอประสานของความคุ้มครองผ่านทางการไทย ทั้งนี้เชื่อว่าการก่อเหตุครั้งนี้น่ามีใบสั่งจากแดนไกลให้ดำเนินการ แต่ในส่วนผู้ก่อเหตุไม่มีผู้ร่วมขบวนการชาวญี่ปุ่นในไทยหลงเหลือแล้ว อย่างไรก็ตามคดีนี้เป็นที่น่าจับตาจากต่างชาติ ทางการไทยซึ่งตัวผู้เสียหายขณะนี้ได้พักรักษาตัวที่รพ.บำรุงราษฏร์ ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยนักธุรกิจรายนี้ทั้งที่ รพ.และประสานไปยังสภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เพื่อดูแลบุคคลในครอบครัวของเหยื่อด้วย