การเคหะแห่งชาติวางแผนลดหนี้เสียทั้งลูกหนี้เช่าซื้อรายย่อยและผู้เช่าเหมา ให้นโยบายใช้วิธีเจรจาก่อน มาตรการฟ้องร้องจะเป็นทางเลือกสุดท้าย เผยทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันแทนปล่อยเป็นหนี้เสียและฟ้องร้องกัน ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยถึงแนวทางการลดปัญหาหนี้เสียจากลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อรายย่อยและลูกค้าเช่าเหมาว่า การเคหะแห่งชาติจะใช้วิธีการเจรจาพูดคุยกับลูกหนี้ก่อน เพื่อหาลู่ทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน แทนการบังคับใช้กฎหมายฟ้องร้อง ซึ่งตนให้นโยบายว่าให้เป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น ในส่วนของลูกหนี้รายย่อยปัจจุบันมีหนี้เสียประมาณ 3.5 % การเคหะฯ จะใช้วิธีเจรจาโดยไม่ปล่อยให้สถานการณ์หนี้สุกงอม ผิดนัดชำระติดต่อกัน 3 งวดแล้วฟ้องร้อง ซึงไม่เกิดประโยชน์แก่ใครเลย “เราไม่ได้เงินแล้วยังเพิ่มหนี้เสียอีก แต่จะใช้วิธีการพูดคุย เพื่อให้เขายอมจ่ายหนี้บางงวด ก่อนผิดนัดชำระครบชำระถึง 3 งวดติดต่อ เราได้เงินแถมลดหนี้เสียได้อีก ลูกค้าก็ไม่ถูกฟ้องร้อง ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์” ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติกล่าวว่า ในส่วนของผู้เช่าเหมาซึ่งมีอยู่ไม่กี่ราย แต่กระจายกันทำสัญญากับการเคหะฯ หลายโครงการก็ใช้วิธีการเจรจาเช่นกัน เพื่อให้ไม่ผิดนัดชำระและเป็นหนี้เสีย ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วนสูงถึง 50% ขณะเดียวกันจะปรับทอนระยะเวลาเช่าให้สั้นลงจาก 6 ปี เป็น 3 ปี แล้วต่อสัญญาได้อีก เพราะระยะสัญญาเช่ายาว ทำให้เมื่อเกิดสภาพปัญหาหนี้แล้ว การเคหะฯ ไม่สามารถแก้ไขได้ทันการณ์ “บางกรณีเราก็เห็นใจ ลูกค้าที่เข้ามาเช่ายกเลิกการเช่าทีเดียวจำนวนมากๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรมที่ย้ายโรงงานออกไป ผู้เช่าเหมาก็เกิดปัญหาทางการเงินได้เช่นกัน ต้องเจรจาพูดคุยกัน เพื่อไม่ให้เป็นหนี้เสียเช่นเดียวกับลูกหนี้เช่าซื้อรายย่อย” ทางด้าน นายสามารถ ปาทา รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติกล่าวว่า ลูกหนี้รายย่อยจะใช้วิธีการเจรจาผ่อนจ่ายเพื่อไม่ให้ผิดนัดชำระ แต่ในส่วนของผู้เช่าเหมา นอกเหนือจากการเจรจาแล้วยังอาจต้องปรับปรุงสัญญาการเช่าใหม่ เพื่อให้สามารถนำทรัพย์สินห้องเช่าคืนกลับมาโดยเร็วที่สุด เพื่อลดความเสียหาย พร้อมๆ กับเพิ่มผู้รับผิดชอบตามสัญญานอกเหนือจากนิติบุคคลแล้ว ยังครอบคลุมถึงกรรมการนิติบุคคล อีกด้วย “การได้ทรัพย์สินคืนบางโครงการใช้เวลานานกว่า 10 ปี มีหนี้เสียมากถึง 60 ล้านบาท เขาใช้ช่องทางกฎหมายในการต่อสู้คดี ยิ่งฟ้องร้องนานก็ไม่คุ้มค่าเสียหาย จึงต้องปรับปรุงสัญญาให้รัดกุมขึ้น”