ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2551-2560) พบผู้ป่วยและเสียชีวิตจากการกินเห็ดพิษมากสุดในภาคอีสานและเหนือขอเตือนประชาชนเห็ดบางชนิดมีพิษร้ายแรงถึงตาย แม้เข้าสู่ร่างกายเพียงเล็กน้อย การนำมาต้ม ทอด ย่าง ไม่สามารถทำลายพิษได้ เนื่องจากพิษทนต่อความร้อน ย้ำไม่ควรนำเห็ดที่ไม่รู้จักมาปรุงอาหารเด็ดขาด ดังนั้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาวิธีการตรวจสายพันธุ์เห็ดพิษ โดยประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางเทคโนโลยีชีวภาพและอณูพันธุศาสตร์ศึกษาพันธุกรรมระดับโมเลกุลโดยใช้ดีเอ็นเอ บาร์โค้ด (DNA barcode) ในการจำแนกเห็ดพิษและเห็ดกินได้ ให้ผลวิเคราะห์ที่ถูกต้อง มีความจำเพาะสูง และเชื่อถือได้ เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากเห็ดพิษ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ในแต่ละปีห้องปฏิบัติการพิษวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รับตัวอย่างเห็ดพิษจากที่ส่งมาตรวจจากทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก พบว่าไม่สามารถแยกความแตกต่างของเห็ดพิษได้จากลักษณะภายนอก เพราะเห็ดพิษและเห็ดกินได้บางชนิดคล้ายคลึงกันมากโดยเฉพาะระยะดอกอ่อน และจากการประเมินสถานการณ์การเกิดพิษจากการรับประทานเห็ดพิษในประเทศไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2551-2560) อุบัติการณ์ดังกล่าวพบมากในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีป่าเบญจพรรณหรือป่าหัวไร่ปลายนา หรือป่าชุมชนจำนวนมาก เห็ดพิษมีหลายชนิด บางชนิดมีพิษร้ายแรงถึงตาย เช่น เห็ดระโงกหิน โดยปริมาณสารพิษ (toxin) ที่สามารถทำให้คนตายได้เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (เทียบเท่ากับการกินเห็ดสดขนาดปานกลางประมาณครึ่งดอก) จัดว่าเป็นสารพิษในเห็ดที่ร้ายแรงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นการต้ม ทอด ย่าง ไม่สามารถทำลายพิษได้ เนื่องจากพิษทนความร้อน เห็ดบางชนิดมีพิษทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เช่น เห็ดหัวกรวดครีบเขียว เห็ดบางชนิดรับประทานเพียงเล็กน้อยทำให้เกิดจินตนาการเป็นภาพหลอนคล้ายยาเสพติด เช่น เห็ดขี้วัว และยังมีเห็ดบางชนิดที่โดยปกติตัวเห็ดเองไม่มีพิษ แต่อาการพิษจะปรากฏเมื่อดื่มแอลกอฮอล์ภายใน24 -72 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังรับกินเห็ดชนิดนั้น จะมีอาการหน้าแดง ปวดหัวรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน หายใจเร็วและหายใจลำบากหัวใจเต้นแรง เห็ดที่พบสารพิษชนิดนี้ ได้แก่ เห็ดน้ำหมึก เป็นต้น นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายแพทย์สุขุม กล่าวต่ออีกว่า การเก็บเห็ดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติมารับประทาน มีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับอันตรายจากสารพิษ ดังนั้นการจะพิสูจน์ทราบว่าเป็นเห็ดชนิดใดหรือมีสารพิษชนิดใด ต้องอาศัยเทคนิคการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการนอกจากนี้ห้องปฏิบัติการพิษวิทยายังได้พัฒนาวิธีการตรวจจำแนกชนิด (species) ของเห็ด โดยใช้ดีเอ็นเอ บาร์โค้ด ซึ่งมีลักษณะจำเพาะของการเรียงตัวของลำดับนิวคลีโอไทด์ ทั้งเห็ดพิษและเห็ดกินได้ เนื่องจากให้ผลวิเคราะห์ที่มีความจำเพาะ (specificity)และความไว (sensitivity) สูง อีกทั้งยังช่วยค้นพบสายพันธุ์เห็ดพิษที่ไม่เคยมีรายงานการพบในประเทศไทย ทำให้มีฐานข้อมูลของดีเอ็นเอ บาร์โค้ด สำหรับเห็ดพิษที่มีความสำคัญทางการแพทย์ของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลอ้างอิงสายพันธุ์เห็ดพิษในกรณีเกิดการระบาดจากเห็ดพิษ ปัจจุบันได้ข้อมูลดีเอ็นเอ บาร์โค้ด มากกว่า 200 ฐานข้อมูล และเมื่อฐานข้อมูลสมบูรณ์มากขึ้นสามารถจัดตั้งฐานข้อมูลอ้างอิงในระดับพันธุกรรมโมเลกุล (DNA barcode reference) ของเห็ดพิษต่อไป “สำหรับการปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่รับประทานเห็ดพิษ ซึ่งจะมีอาการแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของเห็ดว่ามีสารพิษอยู่ในกลุ่มใด อาจจะเกิดขึ้นภายหลังการกินไม่กี่นาทีไปจนถึงหลายชั่วโมงหรือหลายวัน หรือในรายที่อาการรุนแรงจะเสียชีวิตภายใน 1-8 วัน สาเหตุเกิดจากการที่ตับและไตถูกทำลาย ดังนั้นวิธีการช่วยเหลือที่สำคัญ คือ ทำให้ผู้ป่วยอาเจียนออกมาให้มากที่สุด โดยดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือแกงแล้วล้วงคอให้อาเจียนออกมา เพื่อลดการดูดซึมพิษเข้าสู่ร่างกาย แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านทันที พร้อมทั้งนำตัวอย่างเห็ดสด (ถ้ามี)ที่เหลือจากการปรุงอาหารที่รับประทานไปด้วย เพื่อส่งตรวจพิสูจน์สารพิษและสายพันธุ์เห็ดพิษ”นายแพทย์สุขุมกล่าว