สำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.)ตอกย้ำการพัฒนาเพื่อการให้บริการกับลูกค้า ทั้งขยายสาขา และการพัฒนาระบบการสื่อสารและการบริการที่รวดเร็ว เพิ่มช่องทางให้ข้อมูลข่าวสารในระบบโซเชียล ผ่าน website / Line และ Facebook นายมานะ เกลี้ยงทอง ผู้อำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) ให้สัมภาษณ์ว่า สธค.โรงรับจำนำของรัฐ ยืนหยัดเคียงคู่ช่วยเหลือสังคมมายาวนานกว่า 62 ปี และพร้อมที่จะพัฒนาบริการให้สู่ความเป็นเลิศ อีกทั้งขยายสาขาให้กระจายครอบคลุม ซึ่งในปัจจุบัน สธค.มีสาขาทั้งหมด 36 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ จำนวน 29 สาขา ปริมณฑล 4 สาขา และส่วนภูมิภาค 3 สาขา และมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปลายปี 2560 นี้ จะเปิดสาขาที่ จ.สุราษฎธานี และอุดรธานี ซึ่งในช่วงเปิดภาคการศึกษามีนโยบายเพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและผู้ประสบปัญหาการเงินเฉพาะหน้า โดยปรับอัตราการรับจำนำประเภท ทอง นาก เงิน รูปพรรณ จากเดิมรับจำนำไม่เกิน ร้อยละ 87.5 เป็นร้อยละ 90 ของราคาทองรูปพรรณในท้องตลาด ซึ่งโดยปกติ สธค.โรงรับจำนำของรัฐให้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าท้องตลาดอยู่แล้ว และเพื่อเป็นการลดภาระดอกเบี้ยให้กับผู้มาใช้บริการ จึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยใหม่สำหรับผู้มาจำนำใหม่ ซึ่งจะเริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 30 กันยายน 2560 เป็นระยะเวลา 3 เดือน คาดว่าน่าจะมีผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้นประมาณ 12,000 ราย หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 4 ทั้งนี้ สธค.โรงรับจำนำของรัฐ ได้เตรียมเงินไว้รองรับการใช้บริการประมาณ 200 ล้านบาท ปัจจุบัน สธค.มีการเพิ่มช่องทางการแจ้งข่าวสารให้ลูกค้า ประชาชนทั่วไปทราบข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็ว หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น website ,Line และ Facebook ในชื่อ สธค.โรงรับจำนำของรัฐ นอกจากนี้ยังมีความพร้อมในด้านการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการจัดการองค์กรและการบริการประชาชนผู้มาใช้บริการให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด เช่นการสแกนนิ้วมือ แทนการพิมพ์ลายนิ้วมือด้วยหมึก ฯลฯ อีกทั้งยังได้พัฒนาระบบ E-catalog เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการจำหน่ายทรัพย์หลุดจำนำ และยังดำเนินโครงการ pown alarm ระบบแจ้งเตือนทรัพย์หลุดจำนำ เพื่อที่ทรัพย์ของลูกค้าจะได้ไม่หลุดจำนำ หรือหลุดจำนำน้อยที่สุด รวมถึงแผนที่จะพัฒนาการด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ภายใต้สโลแกนการบริการ สธค.โรงรับจำนำของรัฐ ที่ว่า “ให้ราคาสูง ดอกเบี้ยต่ำ เก็บทรัพย์อุ่นใจ”