วันนี้ (15 มิ.ย.)ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยถึงกรณีที่มีสื่อต่างๆ นำเสนอข่าวนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป อดีต ส.ว. และ สปช. พร้อมด้วยตัวแทนประชาชนที่ ได้รับความเสียหายจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จำนวน 665 คน เดินทางมายื่นฟ้องคดีอาญาต่ออดีตอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสหกรณ์กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 2 และสหกรณ์ฯ เนื่องจากกรมส่งเสริมสหกรณ์สนับสนุนให้สหกรณ์ใช้กระบวนฟื้นฟูกิจการ ทำให้ถูกตัดสิทธิรับเงินฝาก ประมาณ 7,500 ล้านบาท และเงินค่าหุ้นประมาณ 4,600 ล้านบาท รวมทั้งการฟื้นฟูกิจการจะต้องใช้เงิน งบประมาณจากภาษีประชาชนนับหมื่นล้านบาท จึงขอเสนอให้ตั้งกองทุนเพื่อติดตามรวบรวมทรัพย์สินจาก ผู้กระทำผิดฟอกเงินเพื่อนำเงินมาคืนแก่ผู้เสียหายประมาณ 5,400 คนนั้น กรมส่งเสริมสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลสหกรณ์ดังกล่าวขอเรียนชี้แจงเหตุผลในการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการว่า ปัญหาการทุจริตของอดีตผู้บริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ทำให้สหกรณ์ฯ ต้องขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง ประกอบกับสมาชิกได้มาถอนคืนเงินฝากและลาออกเพื่อรับค่าหุ้นคืน อีกทั้งเจ้าหนี้บางรายได้ฟ้องสหกรณ์ฯ เพื่อขอรับชำระหนี้ และศาลพิพากษาให้สหกรณ์ฯ ต้องชำระหนี้มูลค่ากว่า 1,800 ล้านบาท ประกอบกับมีสหกรณ์เจ้าหนี้บางแห่งได้ยื่นฟ้องล้มละลายต่อศาล เนื่องจากเห็นว่า สหกรณ์ฯ ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์เห็นว่า เมื่อสหกรณ์ฯประสบภาวะดังกล่าวนี้ ช่องทางที่ดีที่สุดที่ สหกรณ์ฯ จะสามารถชำระหนี้คืนให้กับเจ้าหนี้ทุกราย คือการให้โอกาสสหกรณ์ฯ สามารถฟื้นฟูกิจการสหกรณ์ได้ ดังนั้น จึงได้เสนอเรื่องให้กระทรวงยุติธรรมนำเสนอ คสช. เพื่อออกกฎกระทรวง ซึ่งที่ประชุม คสช. ได้มีมติเห็นชอบให้ออกกฎกระทรวงเพื่อฟื้นฟูกิจการสำหรับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด สหกรณ์ฯ จึงได้ยื่นขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ซึ่งต่อมาศาลได้รับคำร้องขอให้มีการฟื้นฟูกิจการฯ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 จึงทำให้สหกรณ์ อยู่ในสภาวะพักการชำระหนี้ตามกฎหมาย (Automatic Stay) และได้รับความคุ้มครองจากการเรียกคืนหนี้ของ เจ้าหนี้ ทำให้มีโอกาสในการแก้ไขปัญหาในการดำเนินกิจการและเรียกร้องทรัพย์สินคืน รวมทั้งเจ้าหนี้จะมีโอกาส ได้รับชำระหนี้คืนสูงกว่าการไปฟ้องร้องลูกหนี้ตามปกติ ซึ่งศาลล้มละลายได้เห็นชอบให้ฟื้นฟูกิจการได้ และเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการของสหกรณ์ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2559 เมื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการจะทำให้เจ้าหนี้เงินรับฝาก และเจ้าหนี้อื่นมีโอกาสได้รับชำระหนี้คืน ตามแผนฟื้นฟูกิจการฯ ซึ่งปัจจุบันสหกรณ์ฯ ได้จ่ายชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการไปแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559 และวันที่ 23 ธันวาคม 2559 (จ่ายเดือนที่ 6 และ 12) โดยชำระหนี้ครั้งละ 3.76% เป็นผลให้เจ้าหนี้ได้รับช าระหนี้แล้ว 7.52% และจะชำระหนี้รอบใหม่ในเดือนมิถุนายน 2560 อีก 3.76% แต่หากนำทรัพย์สินที่เหลือมาชำระหนี้ทั้งหมดโดยไม่รอผลการติดตามทรัพย์จากคดี จะทำให้เจ้าหนี้ ได้รับชำระหนี้ทั้งสิ้นเพียงร้อยละ 14.96 ของเงินต้นเท่านั้น อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า สำหรับค่าหุ้นของสมาชิกที่มีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาทนั้น มูลเหตุที่สมาชิกไม่สามารถรับชำระตามแผนฟื้นฟูกิจการได้ เนื่องจากค่าหุ้นเป็นส่วนของทุน ดำเนินงานไม่ถือว่าเป็นรายการหนี้ที่จะขอรับชำระคืนได้ตามกฎหมาย ดังนั้น จึงไม่อยู่ในแผนที่จะชำระคืนให้กับ สมาชิกผู้ถือหุ้น แต่อย่างไรก็ตาม หากสหกรณ์ฯ สามารถดำเนินกิจการตามแผนฟื้นฟูฯ จนสำเร็จ ซึ่งถ้าหากมีผลประกอบการที่มีกำไร จะนำมาชดเชยขาดทุนสะสมของสหกรณ์ฯ ก็จะทำให้ยอดขาดทุนสะสมของสหกรณ์ฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้กว่า 15,000 ล้านบาทลดลง สมาชิกจะมีโอกาสรับคืนค่าหุ้นทั้งหมดหรือบางส่วนได้ แต่ถ้าหากสมาชิกจะลาออกแล้วถอนค่าหุ้นคืนในขณะนี้ จะไม่สามารถขอรับค่าหุ้นคืนได้ เนื่องจากเจ้าของทุนจะต้อง รับผิดชอบในส่วนขาดแห่งทุนด้วย ดร.วิณะโรจน์ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวอ้างว่า รัฐจะนำเงินภาษีประชาชนไปอุดหนุนให้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ด้วยวิธีไม่โปร่งใสนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณากำหนด แนวทางจัดหาแหล่งเงินทุนที่จะใช้สนับสนุนการฟื้นฟูกิจการตามแผนฯ ซึ่งตามแนวทางที่ดำเนินการไม่ได้ขอใช้งบประมาณของรัฐ แต่จะให้สหกรณ์เจ้าหนี้และสหกรณ์อื่นที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาในการจัดตั้งบัญชีร่วมเพื่อรักษาเสถียรภาพของสหกรณ์ฯ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการ ที่ผ่านมาได้ จัดประชุมหารือกับสหกรณ์เจ้าหนี้และสหกรณ์ที่จะเข้าร่วมโครงการไปแล้ว 3 ครั้ง เพื่อจะนำข้อสรุปที่ได้หารือกับกระทรวงการคลังเกี่ยวกับแนวทางที่จะให้ธนาคารของรัฐให้ความช่วยเหลือตามโครงการฯ ต่อไป ดังนั้น การจัดหาแหล่งเงินทุนตามแนวทางที่กำหนดจึงไม่เกี่ยวข้องกับงบประมาณของรัฐแต่อย่างใด