ระบุรักษาได้ ยิ่งพามาตรวจเร็วตั้งแต่ 2 ขวบยิ่งดี เผยมีการพัฒนาเทคโนโลยีดูแลเด็กด้วย 3 คลินิกพิเศษ ของสถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ เชียงใหม่ น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า โรคออทิสติก มักพบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง พบได้ทั้งคนจนและคนรวย ในเด็กไทยอายุไม่เกิน 5 ขวบ จะพบเด็กออทิสติกหรือกลุ่มอาการออทิซึมสเปกตรัม 1 คนต่อเด็ก 161 คน แต่ละคนมีระดับความรุนแรงของโรคไม่เท่ากัน ความผิดปกติของเด็กออทิสติก จะเปลี่ยนแปลงไปตามพัฒนาการเด็ก และจะเห็นเด่นชัดขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น จะต้องได้รับบริการคัดกรองหาความผิดปกติ และบำบัดรักษากระตุ้นพัฒนาการ และปรับพฤติกรรมอย่างมีมาตรฐาน เด็กออทิสติกมีความผิดปกติของพัฒนาการสมองที่ล่าช้า 3 ด้านคือ ด้านสังคม ภาษา และพฤติกรรม ผู้ปกครองสามารถสังเกตพบอาการได้ก่อนที่เด็กจะมีอายุ 3 ปี สัญญาณเตือน ได้แก่ “ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว ไม่ชอบเปลี่ยนแปลง” อย่างไรก็ตาม โรคนี้รักษาได้ พามาตรวจเร็ว ผลการรักษาก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หากตรวจพบตั้งแต่ 2 ขวบปีแรก จะทำให้ผลการรักษาดีมาก แม้ไม่หายขาดแต่เด็กจะมีพัฒนาการด้านต่างๆ ดีขึ้น ช่วยเหลือตนเองได้ เข้าโรงเรียนได้ตามวัย น.ต.นพ.บุญเรืองกล่าวว่า ด้วยวิทยาการการแพทย์สมัยใหม่ ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีดูแลเด็กที่มีภาวะออทิสติก เช่น ที่สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ จ.เชียงใหม่ เปิดให้บริการคลินิกพิเศษ 3 คลินิก ได้แก่ 1. คลินิกพิเศษเพื่อวินิจฉัยภาวะออทิสติกด้วยเครื่องมือ ADOS-2 (Autism Diagnostic Observation Schedule) ซึ่งเป็นสถาบันแห่งแรกของไทยที่มีการวินิจฉัยภาวะออทิสติก โดยเครื่องมือมาตรฐานและมีหลักฐานประกอบการวินิจฉัยที่ละเอียดแม่นยำ ใช้เวลา 30-45 นาที โดยใช้วินิจฉัยภาวะออทิสติกมากกว่า 10 ปี มีเด็กทั้งสิ้น 721 ราย รายที่อายุน้อยที่สุดที่วินิจฉัยได้ คือ 13 เดือน ส่งผลให้เด็กได้รับการรักษาแบบเข้มข้นตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษา สังคมและพฤติกรรมที่ดีขึ้น มีระดับสติปัญญาที่สูงขึ้นใกล้เคียงปกติ และจากประสบการณ์เปิดคลินิกพิเศษวินิจฉัยภาวะออทิสติก ขณะนี้จึงได้พัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยภาวะออทิสติกที่เป็นของไทยเอง คือ เครื่องมือ TDAS (Thai Diagnostic Autism Scale) เพื่อจะได้วินิจฉัยและช่วยเหลือเด็กไทยได้ทั่วถึง 2.คลินิกการสื่อสารทางเลือก (Augmentative and Alternative Communication: AAC) นำเอาวิธีอื่นมาใช้สนับสนุนทักษะการพูดของคนที่บกพร่องให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น อาจเป็นระบบที่ไม่ต้องมีองค์ประกอบอื่น เช่น ภาษามือ และสีหน้า ท่าทาง รวมถึงใช้วิธีสื่อสารที่มีตัวช่วยเป็นองค์ประกอบ เริ่มตั้งแต่ใช้รูปภาพ จนถึงใช้เทคโนโลยีขั้นสูงรวมถึงใช้คอมพิวเตอร์ที่ปัจจุบันมีตัวเลือกหลากหลาย 3.คลินิกส่งเสริมพัฒนาการด้านการสื่อสารในเด็กออทิสติกโดยใช้ระบบแลกเปลี่ยนภาพ (Picture Exchange Communication System : PECS) ซึ่งเป็นการสื่อสารเสริมหรือสื่อสารทางเลือกหนึ่งที่นำมาใช้ทดแทนให้กับเด็กที่พูดไม่ได้หรือได้น้อยให้มีช่องทางสื่อสารอื่นแทนคำพูดเพื่อสื่อสารบอกความต้องการกับผู้อื่นได้ ช่วยลดเครียดจากการที่คนอื่นไม่เข้าใจตนเองได้ ซึ่งหัวใจสำคัญที่ทำให้เด็กมีพัฒนาการด้านสื่อสารด้วย PECS ดีขึ้น คือ การที่ผู้ปกครองต้องมุ่งมั่นอดทนในการฝึก พญ.ดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ ผอ.สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ กล่าวว่า ข้อดีของวิธีนี้ คือ เข้าใจง่ายและใช้ได้ง่าย เด็กสามารถบอกความต้องการของตนได้ตรงและชัดเจน ผู้ใหญ่สามารถตอบสนองเด็กได้ตรงจุด ซึ่งการตอบสนองอย่างถูกต้องถือเป็นแรงเสริมให้เด็กอยากสื่อสารมากขึ้น เด็กเป็นฝ่ายเริ่มต้นการสื่อสาร ทำให้เด็กเข้าหาคนมากขึ้น วัสดุที่ใช้มีราคาถูกและทำได้ไม่ยาก และเด็กสามารถสื่อสารกับคนอื่นๆได้ คนอื่นสามารถเข้าใจรูปภาพที่เด็กยื่นให้และตอบสนองความต้องการของเด็กได้และไม่จำเป็นต้องเสียเวลาสอนวิธีสื่อสารนี้แก่คนอื่น โดยวิธีการฝึก ได้แก่ 1.การให้ความรู้ผู้ปกครองให้เข้าใจว่า PECS คืออะไร จะช่วยเด็กได้อย่างไร มีขั้นตอนการฝึกอย่างไรและให้ดูตัวอย่างเด็กที่ใช้ PECS สำเร็จและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 2.ประเมินแรงเสริมที่เด็กต้องการในขณะนั้นแล้วเตรียมภาพและเริ่มฝึกขั้นที่ 1 โดยเน้นให้ผู้ปกครองฝึกลูกได้ 3.สอนผู้ปกครองทำภาพ และให้การบ้านไปฝึกลูกต่อเนื่องที่บ้าน และ 4.นัดมาติดตามอาการ ถ้าเด็กมีความสามารถผ่านเกณฑ์ก็จะสอนขั้นต่อไป